10 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ยุคเก่า ยุคใหม่ มรดกโลกที่ต้องไปเยือนสักครั้ง
10 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก
สำหรับนักท่องเที่ยวหรือนักเดินทางที่ชอบการค้นหาหรือการผจญภัยไปมนที่ต่างๆ ทั่วโลก น่าจะชื่นชอบกับบทความที่เราเรียบเรียงขึ้นมาในวันนี้ นั้นก็คือ 10 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ยุคเก่า ยุคใหม่ มรดกโลกที่ต้องไปเยือนสักครั้ง วันนี้จะพาไปเที่ยว สถานที่ที่ผู้คนทั่วทุกมุมโลกหลั่งไหลไปเที่ยวกัน สถานที่ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตถ้ามีโอกาสต้องไปเยี่ยมชมให้ได้ และนี่คือ 10 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ที่ครั้งหนึ่งต้องไปให้ได้ รับรองไม่ผิดหวังแน่นอน ว่าแล้วก็ลองไปดูพร้อม ๆ กันดีกว่าว่ามีที่ไหนบ้าง
1. กำแพงเมืองจีน (Great Wall of China) ประเทศจีน
กำแพงเมืองจีน นี้สร้างขึ้นจีนสมัยสมัยราชวงศ์ฉิน เพื่อป้องกันการรุกรานจากชนเผ่ามองโกล และเติร์กในอดีต และหลังจากนั้นยังมีการสร้างกำแพงต่ออีกหลายครั้งด้วยกัน มีความยาวทั้งสิ้นกว่า 21,196.18 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 15 มณฑลทั่วประเทศ ถือเป็นสิ่งก่อสร้างโดยฝีมือมนุษย์ที่ยาวที่สุดในโลกเท่าที่เคยมีมา ความยิ่งใหญ่ และประวัติศาสตร์อันยาวนานนี่เอง ทำให้กำแพงเมืองจีนนอกจากจะเป็น 1 ใน 7 มหัศจรรย์ของโลกแล้ว ยังเป็น 1 ในมรดกโลก ที่องค์กร UNESCO คัดเลือกอีกด้วย
สิ่งมหัศจรรย์ที่ติดอันดับทั้งจากโลกยุคกลางและโลกยุคใหม่ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “กำแพงหมื่นลี้” สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้ (Qin Si Huang) เพื่อป้องกันการรุกรานจากชนเผ่าทางเหนือ และมีการสร้างขยายต่อเติมมาถึงในสมัยราชวงศ์หมิง โดยส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะนิยมไปเยี่ยมชมกำแพงเมืองจีนกันที่เมืองปักกิ่ง
2. อาณาจักรอินคา (Inca city) , มาชู ปิกชู (Machu Picchu)
มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “เมืองสาปสูญแห่งอินคา” (The Lost City of The Incas) เป็นเมืองที่มีสิ่งปลูกสร้างกว่า 200 หลัง ตั้งอยู่ยอดเขาสูงในเขตคุสโค (Cusco) เมืองอูรูบัมบา (Urubamba) ประเทศเปรู สร้างโดยจักพรรดิปาชากูติ (Pachacuti) แห่งอาณาจักรอินคาในช่วงศตวรรษที่ 15 แต่ภายหลังจากที่สเปนเข้ามายึดครอง เมืองแห่งนี้จึงถูกปล่อยร้างทิ้งไว้กว่า 300 ปี และถูกค้นพบอีกครั้งโดยนักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกัน ไฮแรม บิงแฮม (Hiram Bingham) ในปี ค.ศ. 1911
เรื่องราวการพิชิตอาณาจักรอินคาเริ่มจากปี ค.ศ. 1532 เกิดการต่อสู้วิวาทของชาวพื้นเมือง เปิดโอกาสให้ ฟรานโก ปิซาโร นักผจญภัยชาวสเปน จับหัวหน้าเผ่าอินคาชื่อ อตา ฮวลปา ไว้บังคับให้บอกที่ซ่อนทองพอรู้เรื่องก็ปล้นยึดเอาไปจากอาณาจักรอินคาแต่เป็นชัยชนะระยะสั้น ได้เกิดการสู้รบระหว่างนักผจญภัยชาวสเปนคนอื่น ๆ และปิซาโร ลงท้ายด้วยปิราโซกับพวก จำนวนมากได้ถูกสังหาร พวกชาวพื้นเมืองพยายามตีโต้ขับไล่พวกสเปนจากภูเขาที่มั่นคงแข็งแกร่งแห่งมาจุ ปิคชุ
หลังจากพวกอินคาได้ลุกฮือขึ้นต่อสู้ได้มีการตั้งผู้ปกครองคือ มานโค คาแปค ก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก สมัยมานโคที่ 2 ชาวพื้นเมืองได้รวมตัวกันก่อสงครามเบ็ดเสร็จขับไล่พวกสาเปนจากภูเขาอันเป็นที่มั่น รบกันไม่นาน ฝ่ายสเปนกลับได้เปรียบ พวกชาวพื้นเมืองเผ่าอินคาถูกสังหารล้มตายลงราวกลับใบไม้ร่วง จนในที่สุดแม้ตัวมานโค ผู้เป็นหัวหน้าก็ตายในที่รบ
สถานที่ตั้ง : เมืองบคุสโซ ประเทศเปรู
ปัจจุบัน : สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
3. พีระมิดแห่งกิซาในอียิปต์
ปิรามิดแห่งกิซาเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญที่มีชื่อเสียงที่สุดในอียิปต์ สิ่งก่อสร้างโบราณเหล่านี้สร้างขึ้นเมื่อ 4,500 ปีที่แล้ว และเป็นสิ่งมหัศจรรย์แห่งเดียวที่เหลืออยู่ในโลกยุคโบราณ พีรามิดที่แสดงถึงความร่ำรวยและความเจริญรุ่งเรืองในยุคอียิปต์โบราณ ผู้เยี่ยมชมสามารถสำรวจปิรามิดและจินตนาการถึงชีวิตของฟาโรห์ที่เคยปกครองอียิปต์มาก่อน
4. รูปปั้นพระเยซูคริสต์ (Christ the Redeemer)
รูปปั้นพระเยซูคริสต์ ตั้งอยู่บนยอดเขากอร์โกวาดู ในนครรีโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล ได้รับการลงคะแนนเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ยุคใหม่ และถือเป็นสัญญาลักษณ์ของนครรีโอเดจาเนโร และที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของชาวคริสต์ในประเทศ บราซิลทั้งหมด ทั้งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของเมือง
เป็นรูปปั้นสูง 30 เมตร กว้าง 38 เมตร ( วัดจากปลายแขนซ้าย ถึงปลายแขนขวา ) มีน้ำหนัก 635 ตัน ตั้งอยู่บนจุดสูงสุดของยอดเขากอร์โกวาดู ในอุทยานแห่งชาติทิจูคา ในตำแหน่งที่สามารถมองเห็น มหานครรีโอเดจาเนโร ได้ทั้งหมด ถือเป็นรูปปั้นพระเยซูคริสต์ขนาด ใหญ่ที่สุดในโลก ที่ตั้งอยู่บนระดับความสูง 710 เมตร
สถานที่ตั้ง : นครรีโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล
ปัจจุบัน : สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
5. ทัชมาฮัล (Taj Mahal) ประเทศอินเดีย
ทัชมาฮัล เป็นอนุสาวรีย์แห่งความรักที่ยิ่งใหญ่ของโลก เพราะที่นี่เป็นสุสานฝังศพของ มุมทัชมาฮัล ราชินีผู้ป็นที่รักยิ่งของ พระเจ้าชาห์เยฮัน อยู่ในเมืองอัคระ บนฝั่งแม่น้ำยมนา ประเทศอินเดีย มุมทัชมาฮาล เป็นมเหสีที่พระเจ้าชาห์เยฮันรักมากที่สุด พระนางสิ้นพระชนม์เพราะคลอดโอรสองค์ที่ 15 ซึ่งทำให้พระเจ้าชาห์เยฮัน เศร้าโศกมาก พระองค์จึงสร้างที่ฝังศพที่หญ่โตที่สุดในโลกขึ้นที่ริมแม่น้ำยมนา
ภายในประดับด้วย หินอ่อนสลักฉลุเป็นลวดลายวิจิตรตระการตาแทรกเสริมด้วย พลอยสี ทับทิม และนิล ตรงกลางภายใต้หลังคาโดมใหญ่มีแท่นวางหีบศพที่ทำด้วยหินอ่อน และมีฉากหินอ่อนฉลุลายงามเป็นพิเศษกั้นอีกชั้นหนึ่ง แต่ศพจริงๆ ไม่ได้บรรจุอยู่ในหีบ หากฝังอยู่ในอุโมงค์ใต้ดินตรงกับที่วางหีบศพนั้น ภายหลังที่สร้างทัชมาฮัล ซาร์เจฮันใฝ่ฝันที่จะสร้าง ที่ฝังศพตัวเองที่ฝั่งแม่น้ำตรงกันข้ามจะเป็นหินอ่อนสีดำล้วนๆ แต่ลูกชายเกรงเงินจะหมดจะไม่มีใช้ เมื่อขึ้นครองราชสมบัติจึงจับพ่อขังอยู่ได้ 7 ปี ก็สิ้นพระชนม์ ประมาณปี พ.ศ.2209 (ค.ศ.1666) แล้วเอาศพไปฝังข้างศพแม่ ส่วนนายช่างผู้ออกแบบถูกสั่งให้ประหาร ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้มีโอกาสออกแบบสิ่งก่อสร้างใด ๆ ที่สวยกว่าได้
สถานที่ตั้ง : เมืองอักรา ประเทศอินเดีย
ปัจจุบัน : สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
6. หอไอเฟลในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
หอไอเฟลเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักและเป็นสถานที่สำคัญในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส หอคอยสูง 324 เมตร นี้สร้างขึ้นในปี 1889 โดย Gustave Eiffel เดิมทีตั้งใจให้เป็นโครงสร้างชั่วคราวสำหรับงาน World’s Fair ในปี 1889 อย่างไรก็ตาม มันได้รับความนิยมอย่างมากจนกลายเป็นสัญลักษณ์ของกรุงปารีส ผู้เข้าชมสามารถขึ้นลิฟไปชมบนยอดหอไอเฟลเพื่อชมทิวทัศน์อันสวยงามของเมืองปารีส และยังสามารถเพลิดเพลินกับอาหารฝรั่งเศสบนหอคอยที่นี่ได้เช่นกัน รับรองว่าฟินที่สุดแล้ว
7. วิหารเซนต์โซเฟีย หรือ สุเหร่าฮาเกีย (Mosque of Hagia Sophia)
มัสยิดฮาเกียโซเฟีย (Hagia Sophia) เป็นอดีตโบสถ์ มัสยิด และปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ในอิสตันบูล ประเทศตุรกี เคยเป็นอาสนวิหารที่ใหญ่ที่สุดในโลกเป็นเวลาเกือบหนึ่งพันปีจนกระทั่งมหาวิหารเซบียาเสร็จสมบูรณ์ในปี 1520 โดมของฮาเกียโซเฟียถือเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิโรมันและไบแซนไทน์ และยังคงเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในตุรกี
ฮาเกียโซเฟียสร้างขึ้นใน ค.ศ. 532–537 ภายใต้จักรพรรดิไบแซนไทน์จัสติเนียนที่ 1 และถือเป็นความสำเร็จทางสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดมมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 108 ฟุต (33 ม.) และสูง 180 ฟุต (55 ม.) และเป็นโดมที่ใหญ่ที่สุดในโลกเป็นเวลาหลายศตวรรษ โบสถ์แห่งนี้ได้รับการตกแต่งด้วยโมเสกและจิตรกรรมฝาผนังอันงดงาม ซึ่งหลายแห่งยังคงได้รับการอนุรักษ์ไว้จนถึงปัจจุบัน
ฮาเกียโซเฟียเป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโกและเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมที่สำคัญที่สุดในโลก เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม และผู้คนหลายล้านคนมาเยี่ยมชมทุกปี
สถานที่ตั้ง : เมืองคอนสแตนดิโนเปิล ประเทศตุรกี
ปัจจุบัน : สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
8. สนามกีฬาโคลอสเซียม หรือ สนามกีฬากรุงโรม (Colosseum of Rome)
สนามกีฬากลางแจ้งแห่งนี้เป็นสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงของโลกอย่างหนึ่ง เป็นอนุสรณ์ที่ ใหญ่โตของอาณาจักร โรมันสมัยโบราณสร้างขึ้นในระหว่างปีพ.ศ. 615 ถึง 623 (ค.ศ. ที่ 72 ถึง 80) ตัวสนามสร้างมีรูปเป็นตึกวงกลมก่อด้วยอิฐและหินขนาดใหญ่ วัดโดยรอบยาว 527 เมตร สูง 57 เมตร มี 4 ชั้น ภายในมีอัฒจรรย์สำหรับคนนั่งดู จุคนดูประมาณ 80,000 คน ใต้อัฒจรรย์ และใต้ดินมีห้องสำหรับขังนักโทษที่รอการประหารชีวิต และสิงโต หลายร้อยห้อง ใช้เป็นสถานที่ให้นักโทษ ต่อสู้กับสิงโตที่อดอาหาร หากนักโทษผู้ใดเอาชนะ ฆ่าสิงโตได้ด้วยมือเปล่าได้ก็รอดชีวิตไป หรือ ไว้ใช้เป็นที่ประลองฝีมือในเชิงฟันดาบของบรรดาเหล่าทาสให้ต่อสู้กันเอง ยิ่งถ้าต่อสู้กัน จนถึงสามารถฆ่าคู่ต่อสู้ตาย ก็จะได้รับเกียรติอย่างสูงเพราะเป็นการต่อสู้ที่ชาวโรมันนิยมและยกย่องกันมากปีๆหนึ่งต้องสูญเสียชีวิตนักโทษและทาสไม่ต่ำกว่าร้อยคน
สนามกีฬาแห่งนี้จึงเป็นสิ่งก่อสร้างที่แสดงถึงความรุ่งโรจน์ของอาณาจักรโรมันโบราณ แต่เมื่ออาณาจักรโรมันเสื่อมลงชัก็ถูกข้าศึกทำลายหลายครั้งหลายหน ในปัจจุบันยเหลือแต่ซากโครงสร้างอันใหญ่โตมโหฬารไว้ให้ชม
สถานที่ตั้ง : กรุงโรม ประเทศอิตาลี
ปัจจุบัน: สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
9. หอเอนปิซ่า (Pisa)
หอเอนเมืองปิซาเริ่มสร้างเมื่อปี ค.ศ.1173 สร้างเสร็จเมื่อปี 1350 ใช้เวลาสร้างประมาณ 175 ปี แต่การก่อสร้างหยุดชะงักเมื่อสร้างไปได้ถึงชั้น 3 เนื่องจากพื้นใต้ดินเป็นพื้นดินที่นิ่ม ทำให้ยุบตัว หอก็เริ่มเอน ต่อมาในปี ค.ศ.1272 โดย Giovanni di Simone สร้างให้เอนกลับไปอีกด้านหนึ่งเพื่อให้สมดุล แต่การก่อสร้างในครั้งนี้ ก็ต้องหยุดชะงักลงอีกครั้งเนื่องจากเกิดสงคราม ต่อมาก็มีการสร้างหอต่อขึ้นอีกและสร้างเสร็จ 7 ชั้น ในปี ค.ศ.1319 แต่หอระฆังถูกสร้างเสร็จในปี ค.ศ.1372 โดยใช้เวลาสร้างทั้งหมด 177 ปี
หอเอนเมืองปิซาสร้างด้วยหินอ่อนสีขาว สูง 55.86 เมตร น้ำหนักรวม 14,500 ตันโดยประมาณ มีบันได 293 ขั้น เอียง 3.97 องศา ยอดของหอห่างจากแนวตั้งฉาก 3.9 เมตร เเต่ละชั้นมีเสาหินอ่อนที่สลักลวดลายอันวิจิตรองรับไว้โดยรอบ ความน่ามหัศจรรย์ของหอคือ นอกจากจะเป็นสิงก่อสร้างที่ใช้เวลานานที่สุดในโลกเเล้ว ยังมีเอกลักษณ์ซึ่งทำให้เป็นที่รู้จักกันทั่วโลกด้วย
สถานที่ตั้ง : ประเทศอิตาลี
ปัจจุบัน : สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
10. นครเพตรา (Petra) ประเทศจอร์แดน
นครเปตรา ซ่อนตัวอย่างลึกลับในหุบเขาวาดี มูซา หุบเขาที่ตั้งอยู่ระหว่างทะเลสาบเดดซี กับทะเลอัคบาในประเทศจอร์แดน นครนี้ในสมัยโบราณนั้นเป็นนครแห่งการค้าขนาดใหญ่ เป็นเมืองหลวงของชนเผ่านาบาเชียนซึ่งเป็นชนเผ่าที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจอร์แดนในสมัยก่อน และถูกละทิ้งเป็นเวลานานกว่า 700 ปี ซึ่งได้ถูกค้นพบโดยนักสำรวจชาวสวิตเซอร์แลนด์ โจฮันน์ ลุควิก เบิร์กฮาร์ท ในปี ค.ศ. 1812
ชาวนาบาเชียนสร้างเมืองแห่งนี้โดยใช้วิธีการแกะสลักหินให้เป็นช่องอุโมงค์ โรงละครของเมืองแห่งนี้ซึ่งเป็นต้นแบบของโรงละครแบบกรีก-โรมัน ส่วนหน้าของวิหารเอล เดียร์ ซึ่งสูง 42 เมตร ในเมืองแห่งนี้เป็นตัวอย่างที่ดีอีกแห่งหนึ่งของสถาปัตยกรรมแบบกรีกโบราณ ทำให้นครเปตราได้รับลงทะเบียนจากองค์กร UNESCO ให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2528
การท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ ที่เราไม่เคยไปนั้นถือได้ว่าเป็นการเติมพลังบวกให้กับชีวิตของเรา เปิดการเรียนรู้สิ่งต่างๆ สถานที่ ประวัติความเป็นมาของโลกใบนี้ หวังว่าเพื่อนๆ ที่ได้อ่าน 10 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ยุคเก่า ยุคใหม่ มรดกโลกที่ต้องไปเยือนสักครั้ง จะเกิดแรงบันดานใจและหาโอกาสไปรองสักครั้งในชีวิตนะครับ สำหรับบทความนี้ขอจบเพียงเท่านี้ แล้วพบกันใหม่บทความน่านะครับ…
เรียบเรียง | esanbanna.com
บทความที่เกี่ยวข้อง