ประกันภาคบังคับ (พ.ร.บ.) คุ้มครองอะไรบ้าง และทำไมต้องทำ?

ประกันภาคบังคับ (พ.ร.บ.) คุ้มครองอะไรบ้าง และทำไมต้องทำ?

ประกันภาคบังคับ (พ.ร.บ.) คุ้มครองอะไรบ้าง

           เมื่อพูดถึงการขับขี่บนท้องถนน หลายคนอาจนึกถึงกฎหมายจราจรและความปลอดภัยในการเดินทาง แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน นั่นคือ ประกันภัยภาคบังคับ” หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ พ.ร.บ. รถยนต์ ซึ่งเป็นกฎหมายที่เจ้าของรถทุกคันต้องทำตามเพื่อให้ได้รับความคุ้มครองในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ หลายคนอาจสงสัยว่า ประกันภาคบังคับ (พ.ร.บ.) คุ้มครองอะไรบ้าง และทำไมต้องทำ? บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับ พ.ร.บ. รถยนต์ให้มากขึ้น เพื่อให้คุณรู้ถึงสิทธิประโยชน์และความสำคัญของการทำประกันภาคบังคับนี้

ประกันภัยภาคบังคับ (พ.ร.บ.) คืออะไร?

พ.ร.บ. (พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ) เป็น ประกันภัยภาคบังคับที่รัฐบาลกำหนดให้รถทุกคันต้องมี เพื่อให้ความคุ้มครองแก่ผู้ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ โดยไม่ต้องพิสูจน์ว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิด

จุดประสงค์ของ พ.ร.บ.

  • ช่วยให้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุสามารถเข้ารับการรักษาได้ทันที
  • ลดภาระค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ของผู้ประสบภัย
  • เป็นหลักประกันให้ประชาชนเข้าถึงการรักษาพยาบาลอย่างเท่าเทียม
  • เป็นเงื่อนไขสำคัญในการต่อภาษีรถยนต์ประจำปี

พ.ร.บ. คุ้มครองอะไรบ้าง?

พ.ร.บ. จะให้ความคุ้มครองเฉพาะผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ โดยครอบคลุมค่าใช้จ่ายต่างๆ ดังนี้

  1. ค่ารักษาพยาบาล (สูงสุด 80,000 บาท)
    • ค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุ ไม่ว่าผู้ขับขี่จะเป็นฝ่ายถูกหรือผิด
    • สามารถใช้สิทธิ์รักษาได้ที่โรงพยาบาลโดยไม่ต้องสำรองจ่าย
  1. ค่าทดแทนกรณีเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวร (สูงสุด 500,000 บาท)
    • หากเกิดการเสียชีวิต ทายาทจะได้รับเงินชดเชยสูงสุด 500,000 บาท
    • กรณีสูญเสียอวัยวะหรือทุพพลภาพถาวร ได้รับเงินชดเชยตามอัตราที่กำหนด
  1. ค่าชดเชยกรณีต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล (200 บาท/วัน สูงสุด 20 วัน)
    • หากต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลจากอุบัติเหตุ จะได้รับค่าชดเชยวันละ 200 บาท
  1. ค่าปลงศพ (สูงสุด 35,000 บาท)
    • ในกรณีที่เกิดการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ เงินจำนวนนี้จะช่วยแบ่งเบาภาระค่าทำศพให้กับครอบครัว

หมายเหตุ:

  • พ.ร.บ. คุ้มครองเฉพาะ ค่ารักษาพยาบาลและชดเชยกรณีบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
  • ไม่ครอบคลุม ค่าซ่อมรถหรือค่าเสียหายต่อทรัพย์สิน ซึ่งต้องทำประกันภาคสมัครใจเพิ่มเติม

ทำไมต้องทำ พ.ร.บ. รถยนต์?

  • เป็นกฎหมายบังคับ  หากไม่มี พ.ร.บ. จะไม่สามารถต่อทะเบียนรถยนต์ได้ และอาจถูกปรับสูงสุดถึง 10,000 บาท
  • คุ้มครองทุกคนที่ได้รับบาดเจ็บ  ไม่ว่าจะเป็นคนขับ ผู้โดยสาร หรือแม้แต่คนเดินถนน
  • ไม่ต้องสำรองจ่ายค่ารักษา  สามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลได้ทันที
  • ช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย  โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่มีประกันภาคสมัครใจ

สรุป: พ.ร.บ. สำคัญอย่างไร?

  •  พ.ร.บ. เป็นกฎหมายที่เจ้าของรถทุกคนต้องทำ เพื่อให้ได้รับการคุ้มครองทางการแพทย์กรณีเกิดอุบัติเหตุ
  • คุ้มครอง ค่ารักษาพยาบาล ค่าชดเชยรายวัน ค่าทำศพ และค่าทุพพลภาพ
  •  ไม่ครอบคลุมความเสียหายของตัวรถและทรัพย์สิน ต้องทำประกันภาคสมัครใจเพิ่มเติม
  • ไม่มี พ.ร.บ. = ต่อทะเบียนไม่ได้ และอาจโดนปรับสูงสุด 10,000 บาท

ดังนั้น หากคุณเป็นเจ้าของรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ อย่าลืมตรวจสอบว่าพ.ร.บ.ของคุณยังไม่หมดอายุ และทำการต่อให้เรียบร้อย เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองอย่างต่อเนื่อง


บทความที่น่าสนใจ

มือใหม่อยาก ปลูกมันแกว เริ่มต้นอย่างไรให้ได้ผลดี

มือใหม่อยาก ปลูกมันแกว เริ่มต้นอย่างไรให้ได้ผลดี

ปลูกมันแกว

ปลูกมันแกว เริ่มต้นอย่างไรให้ได้ผลดี


      มันแกว เป็นพืชหัวที่ปลูกง่ายและสามารถเติบโตได้ดีในสภาพอากาศร้อนชื้นของประเทศไทย หัวมันแกวมีรสชาติหวาน กรอบ อร่อย สามารถรับประทานสดหรือใช้เป็นวัตถุดิบในอาหารต่างๆ นอกจากนี้ มันแกวยังเป็นพืชที่มีตลาดรองรับ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นทำเกษตรเพื่อสร้างรายได้ แต่สำหรับมือใหม่ การปลูกมันแกวให้ได้ผลผลิตที่ดีจำเป็นต้องมีความรู้และเทคนิคที่ถูกต้อง บทความนี้จะช่วยแนะนำแนวทางการปลูกมันแกวตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงการเก็บเกี่ยวอย่างได้ผล

     แหล่งปลูก ปลูกมากที่สุดในภาคกลาง จังหวัดที่ปลูกมาก ได้แก่ สระบุรี ลพบุรี ชลบุรี สมุทรสาคร รองลงไป ได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดที่ปลูกมากได้แก่ มหาสารคาม หนองคาย ขอนแก่น ภาคเหนือปลูกไม่มากนัก ที่จังหวัดนครสวรรค์ ลำปาง เชียงราย ส่วนภาคใต้ปลูกมันแกวน้อยกว่าภาคอื่น ๆ มีปลูกมากในจังหวัดสุราษฎร์ธานี

      ฤดูปลูก มันแกวชอบอากาศค่อนข้างร้อน มีฝนปานกลางในสภาพอากาศที่หนาว ระยะการเจริญเติบโตจะยาวนานในการผลิตหัวต้องการวันสั้น ถ้าปลูกในฤดูที่มีวันยาวที่ได้รับแสงแดด 14-15 ชั่วโมง การเจริญเติบโตดี แต่ไม่ผลิตหัว ควรปลูกในระยะตันฝนถึงปลายฤดูฝน เพื่อเก็บหัวในฤดูแล้งถ้าปลูกฤดูแล้ง หลังจากฝนหมดแล้ว จะมีหัวในเวลาไม่นานนัก เช่น ปลูกเดือนพฤศจิกายน จะเก็บหัวได้ในราว เดือนมกราคมหรือกุมภาพันธ์ แต่จะได้หัวเล็ก ดังนั้น เพื่อให้ได้มันแกวหัวโต ควรปลูกในช่วงเดือนมิถุนายน

การเตรียมที่ปลูก

       มันแกวชอบดินร่วนทรายที่มีการระบายน้ำดีมีการ เตรียมดินดี ไม่ชอบดินเหนียว ไม่ชอบน้ำขัง ชอบดินร่วนทราย การเตรียมดินก็เหมือนกับการปลูกพืชไร่อื่น ๆ มีการไถพรวน เพื่อให้ดินร่วนโปร่ง เก็บวัชพืชออกให้หมด และยกร่อง เพื่อปลูกมันแกวบนสันร่อง

วิธีปลูก

ปลูกด้วยเมล็ดเป็นส่วนใหญ่ มีบางครั้งปลูกโดยใช้หัว เพื่อรักษาลักษณะที่ดีไว้ ปลูกหลุมละ 2 เมล็ด ในบางประเทศปลูกโดยใช้ระยะระหว่างแถว 60-75 ชม. ระยะระหว่างหลุม 30-40 ชม. อินเดียและฟิลิปปินส์ ใช้ระยะระหว่างต้น 10 ชม. ระหว่างแถว 15-20 ชม. มีรายงานจากผลการทดลองแนะนำให้ใช้ระยะ 15 x 15 ชม. ให้ผลดี ประเทศไทย ปลูกโดยวิธียกร่องระยะระหว่างแถว 80-100 ซม. ระหว่างต้นแตกต่างกันไปชนิดหัวเล็กต้นห่างกัน 10-20 ชม. ชนิดหัวใหญ่ห่างกัน 30-50 ซม. ถ้าไม่ยกร่อง ระยะระหว่างแถวแดบกว่านี้เล็กน้อย เนื้อที่ปลูก 1 ไร่ ใช้เมล็ดพันธุ์ประมาณ 8 กก. หรือประมาณครึ่งถัง

การพรวนดิน

ถ้าปลูกฤดูฝน ควรพรวนดินพร้อมกับกำจัดวัชพืชไม่ให้วัชพืชขึ้นปกคลุมต้นมันแกว ปกติต้องกำจัดวัชพืช 2-3 ครั้ง

การเด็ดยอด

การปลูกมันแกวในฤดูฝนนั้น จำเป็นต้องเด็ดยอดและดอกถ้าไม่เด็ด มันแกวจะเจริญเติบโตทางต้น ใบ ดอก ฝัก ทำให้มีหัวเล็กการเด็ดยอดและดอกจึงเป็นสิ่งที่ต้องทำ

       การปลูกมันแกวเพื่อเก็บเมล็ดไว้ทำพันธุ์ ไม่ต้องทำ การเด็ดยอดและดอก ปล่อยให้เจริญเติบโตตามปกติ เพื่อให้ได้เมล็ดมาก และเมล็ดมีคุณภาพดี ในทางปฏิบัติ เกษตรกรจะเด็ดยอดโดยการใช้ไม้คล้ายไม้เรียว หวดให้ยอดขาด หรือหักไม่ให้ยอดเจริญเติบโตต่อไป

การใส่ปุ๋ย

ส่วนใหญ่ใช้ปุ้ยคอกแห้งและปุยหมัก ใส่ได้เรื่อยๆ ปริมาณมากน้อยขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดินใส่ปัยแอมโมเนียมชัลเฟต หลุมละ 1 ช้อนแดง ใส่พร้อมการหยอดเมล็ดพันธุ์และหว่านปุ๋ยเคมีสูตร 12-24-12 หรือ 15-15-15 อีก 20-30 กก./ไร่ เมื่อต้นมันแกวเริ่มเลื้อย

โรคและแมลง

ไม่ค่อยมีโรคที่รบกวนต้นมันแกวมากนัก ส่วนแมลงจะมีเพลี้ยอ่อนดูดกินน้ำเลี้ยง แต่พบไม่มาก

การเก็บเกี่ยวและเก็บรักษาหลังเก็บเกี่ยว

        มันแกวที่ปลูกฤดูฝนจะแก่เมื่ออายุประมาณ 5-8 เดือน แต่ถ้าจะเก็บเมล็ดต้องใช้เวลาประมาณ 10 เดือน ให้สังเกตดูใบมันแกว เมื่อใบเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแสดงว่าเริ่มเก็บหัวได้แล้ว มันแกวชนิดหัวเล็กปลูกหลังดูดูฝน เก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุ 3 เดือน ถ้าปลูกน้อย เก็บโดยการชุดด้วยจอบถ้าปลูกมากอาจใช้ไถพลิกหัวมันแกวขึ้นมา เมื่อเก็บหัวมาแล้วล้างน้ำให้สะอาด แล้วส่งตลาดหรือเก็บรักษาไว้ต่อไปผลผลิตในพื้นที่ปลูก 1 ไร่ จะได้หัวมันแกวสดประมาณ 3-5 ตัน

        การเก็บรักษามันแกวที่ดีวิธีหนึ่ง คือ ถ้าราคายังไม่ดียังไม่ชุดขึ้นจากดิน วิธีนี้จะสามารถทิ้งหัวมันแกวไว้ในดินได้อีกประมาณ 2-3 เดือน โดยไม่ให้น้ำ หัวจะไม่เสียหายเพียงแต่แท้งไปบ้าง และจะมีรสหวานมากขึ้น ถ้าชุดขึ้นมาแล้ว ควรเก็บรักษาหัวมันแกวไว้ในที่ร่ม อุณหภูมิระหว่าง 12-16 องศาเชลเชียส มีไม้ปรองพื้น และมีหลังคากันฝน จะเก็บได้นาน 1-2 เดือน

ที่มา : กรมส่งเสริมการเกษตร


บทความอื่นที่น่าสนใจ

วิธีการทำปุ๋ยอินทรีย์ ไว้ใช้งานสำหรับมือใหม่ สะอาดปลอดภัย

วิธีการทำปุ๋ยอินทรีย์ ไว้ใช้งานสำหรับมือใหม่ สะอาดปลอดภัย

ปุ๋ยอินทรีย์

ปุ๋ยอินทรีย์ คืออะไร

ปุ๋ยอินทรีย์ หมายถึง ปุ๋ยที่ได้หรือทำมาจากวัสดุอินทรีย์ ซึ่งผลิตด้วยกรรมวิธีทำให้ชื้น สับ หมัก บด ร้อน สกัด หรือด้วยวิธีการอื่นและวัสดุอินทรีย์ถูกย่อยสลายสมบูรณ์ ด้วยจุลินทรีย์ จะให้ปริมาณธาตุอาหารพืชน้อย แต่จะให้ธาตุอาหารพืชอย่างครบถ้วนทั้งธาตุอาหารหลัก ธาตุอาหารรองและธาตุอาหารเสริม โดยค่อยๆ ปลดปล่อยให้พืชได้ใช้ และช่วยให้ดินสามารถดูดขับธาตุอาหารพืชไว้ได้สูง ทำให้การใช้ปุ๋ยเคมีมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ประโยชน์ของปุ๋ยอินทรีย์

  1. ช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุให้แก่ดินหากใช้อย่างต่อเนื่องจะทำให้โครงสร้างของดินดีขึ้น ดินโปร่ง ร่วนซุย มีการระบายน้ำ และการถ่ายเทอากาศดีขึ้น พืชดูดชับน้ำและธาตุอาหารในดินไปใช้ได้มากขึ้นช่วยปรับสภาพความเป็นกรดเป็นด่างของดินให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืช
  2. เป็นเหล่งธาตุอาหารพืชครบถ้วนตามที่ต้องการ ทั้งธาตุอาหารหลัก ธาตุอาหารรอง และธาตุอาหารเสริม โดยค่อยๆ ปลดปล่อยธาตุอาหารอย่างช้า ๆ และอยู่ในดินได้นาน และเมื่อใส่ร่วมกับปุ๋ยเคมีจะช่วยส่งเสริมให้ปุ๋ยเคมีมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น
  3. ช่วยเพิ่มเหล่งอาหารให้แก่จุลินทรีย์ในดิน ทำให้ปริมาณและกิจกรรมของจุลินทรีย์ดินเพิ่มขึ้น ช่วยย่อยสลายอินทรีย์วัตถุในดิน ให้แปรสภาพเป็นธาตุอาหารพืชได้มากขึ้น และจุลินทรีย์บางชนิดช่วยยับยั้งจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุของโรคพืชได้ด้วยวัสดุใช้ทำปุ๋ยอินทรีย์

การทำจุลินทรีย์-น้ำหมักคุณภาพสูง

  • จุลินทรีย์อีเอ็ม 5  ลิตร
  • น้ำหมักเข้มข้น  5  ลิตร
  • น้ำตาลทราย 5  กิโลกรัม
  • รำอ่อน 5  กิโลกรัม
  • หัวอาหารไก่เล็ก 2  กิโลกรัม
  • น้ำตามสมควร

วิธีทำ ผสมส่วนผสมทั้งหมดในถังขนาด 200 ลิตร เติมน้ำให้เหลือพื้นที่ 1/3 ของถัง ปิดฝาถังไว้ 7 วัน เปิดฝาถังแล้วคนให้ทั่ว แล้วปิดฝาถังไว้ 15-30 วัน สามารถนำไปเป็นส่วนผสมการทำปุ๋ยอินทรีย์

วัสดุที่ใช้ทำปุ๋ย

  • มูลสัตว์ 18 กิโลกรัม
  • กากอ้อย 18 กิโลกรัม
  • รำอ่อน-ปานกลาง 6 กิโลกรัม
  • โดโลไมท์ 6 กิโลกรัม
  • แกลบ 5 กิโลกรัม
  • ดินดี 5 กิโลกรัม
  • จุลินทรีย์- น้ำหมักคุณภาพสูง 10 ลิตร

วิธีทำ ผสมวัสดุทั้งหมด (ยกเว้นน้ำจุลินทรีย์) ให้เข้ากัน ค่อยๆ ผสมน้ำจุลินทรีย์ลงไปและคลุกเคล้าให้เข้ากัน จนทั่ว กองหมักไว้ 10 – 15 วัน แผ่กระจายทำให้ปุ๋ยอินทรีย์แห้ง เมื่อแห้งสามารถนำไปตีปั่นให้เป็นเม็ดเล็กๆ สามารถเก็บไว้ใช้ได้นาน

การนำปุ๋ยอินทรีย์ไปใช้

  • นาข้าว ใช้ประมาณ  300-3,000 กก./ไร่ ต่อปี
  • ไม้ผล ใช้ประมาณ  50 กก./ต้น ต่อปี
  • พืชผัก ใช้ประมาณ  2 กก./ตารางเมตร
  • อ้อย ใช้ประมาณ  600-1,200 กก./ไร่ ต่อปี
  • ไม้กระถาง ใช้ประมาณ  1 กำมือ (ปีละ 3-4 ครั้ง)
  • ดินกระถาง ใช้ประมาณ  ดิน 4 ส่วน+ปุ๋ยอินทรีย์ 1 ส่วน

ข้อจำกัดของปุ๋ยอินทรีย์

  1. ปุ๋ยอินทรีย์มีธาตุอาหารพืชอยู่น้อย หากต้องการให้พืชได้รับธาตุอาหารที่เท่ากัน เพื่อยกระดับผลผลิตให้ได้ได้เท่ากับการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ จะต้องใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในปริมาณที่มากกว่าเสียค่าใช้จ่ายในการขนส่งสูง และแรงงานในการใส่ปุ๋ยมากกว่าการใส่ปุ๋ยเคมี
  2. การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ไม่มามารถปรับแต่งให้ได้สูตรปุ๋ยที่เหมาะสมกับดินและพืชได้ เนื่องจากได้มาจากวัสดุ ที่มีความแปรผันของธาตุอาหารในปุ๋ย ไม่สามารถกำหนดปริมาณธาตุอาหารที่ต้องการได้
  3. ปุ๋ยอินทรีย์ไม่สามารถให้ธาตุอาหารแก่พืชได้ตามช่วงเวลาที่พืชต้องการ เนื่องจากต้องอาศัยการย่อยสลายจากจุลินทรีย์ในดินและค่อยๆ ปลดปล่อยให้พืชใช้อย่างช้า ๆ
  4. ปุ๋ยอินทรีย์ บางชนิดอาจมีโลหะหนักปนเปื้อนจากวัสดุที่นำมาผลิตปุ๋ยอินทรีย์ เมื่อพืชดูดซึมไปใช้ อาจจะได้รับผลกระทบต่อสุขภาพ

บทความอื่นที่น่าสนใจ

เลี้ยงปลาหมอ อย่างไรให้รอดและโตไว แนะนำวิธีเลี้ยงสำหรับมือใหม่

เลี้ยงปลาหมอ อย่างไรให้รอดและโตไว แนะนำวิธีเลี้ยงสำหรับมือใหม่

เลี้ยงปลาหมอ

เลี้ยงปลาหมอ อย่างไรให้รอดและโตไว


“ปลาหมอ” ปลาเศรษฐกิจยอดนิยมที่เลี้ยงง่าย โตไว และเป็นที่ต้องการของตลาด ด้วยรสชาติที่อร่อย เนื้อแน่น และคุณค่าทางโภชนาการสูง ทำให้ปลาหมอเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ สำหรับเกษตรกรและผู้ที่ต้องการเลี้ยงปลาเพื่อบริโภคเอง อย่างไรก็ตาม การเลี้ยงปลาหมอให้ประสบความสำเร็จนั้น ต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจ และเทคนิคที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลี้ยงปลาหมอแบบประหยัดต้นทุน เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพและคุ้มค่ากับการลงทุน ในบทความนี้ เราจะมาเผยเคล็ดลับการเลี้ยงปลาหมอให้รอดและโตไว พร้อมทั้งเทคนิคการลดต้นทุนที่เกษตรกรทุกคนสามารถนำไปปรับใช้ได้

ในบทความนี้ เราจะมาแนะนำเทคนิคการเลี้ยงปลาหมอให้รอดและโตไว โดยใช้ต้นทุนต่ำที่สุด ตั้งแต่การเลือกบ่อเลี้ยง อาหาร ไปจนถึงการจัดการน้ำและการป้องกันโรค เพื่อช่วยให้คุณสามารถเลี้ยงปลาหมอได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างกำไรได้สูงสุด

การเตรียมบ่อเลี้ยงปลาหมอแบบประหยัด

การเตรียมบ่อเป็นขั้นตอนสำคัญที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของปลาหมอ หากจัดการบ่อให้เหมาะสมตั้งแต่ต้น จะช่วยให้ปลาหมอเติบโตได้ดี ลดปัญหาโรค และประหยัดต้นทุนในการดูแล

การเลือกสถานที่และประเภทของบ่อที่เหมาะสม

ก่อนสร้างบ่อ ควรเลือกสถานที่ที่เหมาะสม โดยควรอยู่ในที่ที่มีแหล่งน้ำสะอาด ไม่อยู่ใกล้โรงงานอุตสาหกรรมหรือบริเวณที่มีสารเคมีปนเปื้อน ควรเป็นพื้นที่ที่น้ำไม่ท่วมง่ายและสามารถระบายน้ำได้สะดวก

บ่อเลี้ยงปลาหมอมีหลายประเภท แต่ละแบบมีข้อดีและข้อเสียที่ต่างกัน

  1. บ่อดิน (ประหยัดต้นทุนที่สุด)
    • ใช้ดินขุดเป็นบ่อธรรมชาติ ค่าใช้จ่ายต่ำ
    • น้ำมีสารอาหารธรรมชาติช่วยให้ปลาหมอเติบโตดี
    • เหมาะกับการเลี้ยงจำนวนมาก
    • ข้อเสีย: ควบคุมคุณภาพน้ำยาก ต้องดูแลเรื่องการพังทลายของบ่อ
  1. บ่อซีเมนต์ (ทนทาน ใช้งานได้นาน)
    • ควบคุมคุณภาพน้ำได้ดี ดูแลง่าย
    • ป้องกันศัตรู เช่น งู และสัตว์อื่นๆ ได้ดี
    • เหมาะสำหรับการเลี้ยงเชิงพาณิชย์
    • ข้อเสีย: มีค่าใช้จ่ายสูงกว่า ต้องมีระบบกรองน้ำที่ดี
  1. บ่อพลาสติก หรือบ่อผ้าใบ (สะดวก ราคากลางๆ)
    • ติดตั้งง่าย ใช้พื้นที่น้อย
    • ควบคุมคุณภาพน้ำได้ดีกว่าบ่อดิน
    • เหมาะสำหรับการเลี้ยงในพื้นที่จำกัด เช่น เลี้ยงหลังบ้าน
    • ข้อเสีย: อายุการใช้งานสั้นกว่าแบบซีเมนต์

หากต้องการประหยัดต้นทุนที่สุด บ่อดิน เป็นตัวเลือกที่ดี แต่หากมีงบประมาณและต้องการควบคุมคุณภาพน้ำ บ่อซีเมนต์ หรือ บ่อพลาสติก ก็น่าสนใจ

การเตรียมบ่อและการปรับสภาพน้ำให้เหมาะสมกับการเลี้ยงปลาหมอ

เมื่อเราเลือกบ่อที่เหมาะสมกับพื้นที่ในการเลี้ยงปลาหมอของเราได้แล้วก็จะมาถึงขั้นตอนการเตรียมบ่อในรูปแบบต่างๆกันครับ ซึ่งอาจจะมีขั้นตอนที่แตกต่างกันไปบ้าง เรามาดูกันว่ามีอะไรบ้างครับ

เลี้ยงปลาหมอ

การเตรียมบ่อดิน

การเตรียมบ่อดินสำหรับเลี้ยงปลาหมอมีขั้นตอนสำคัญที่ต้องคำนึงถึงเพื่อให้ปลาเจริญเติบโตได้ดี โดยขั้นตอนที่สำคัญดังนี้

  • ขุดบ่อให้มีความลึกประมาณ 1.2-1.5 เมตร เพื่อให้ปลามีพื้นที่ว่ายน้ำและซ่อนตัว
  • โรยปูนขาว (ปูนโดโลไมท์) ประมาณ 1 กิโลกรัมต่อตารางเมตร เพื่อปรับสภาพดินและฆ่าเชื้อโรค
  • ตากบ่อไว้ 5-7 วัน ก่อนเติมน้ำ

การเตรียมบ่อซีเมนต์

การเตรียมบ่อซีเมนต์สำหรับเลี้ยงปลาหมอมีขั้นตอนสำคัญที่ต้องทำอย่างถูกต้องเพื่อให้ปลาสามารถเติบโตได้ดี และลดปัญหาน้ำเสียหรือสารพิษที่อาจเกิดขึ้นจากซีเมนต์ใหม่ โดยมีขั้นตอนดังนี้

  • บ่อซีเมนต์ใหม่ ต้องล้างคราบปูนออกก่อน โดยแช่น้ำและเปลี่ยนน้ำหลายๆ รอบ หรือใช้ใบตองแช่ไว้ 3-5 วัน เพื่อลดความเป็นด่าง แล้วใส่น้ำสะอาด ปรับสภาพน้ำโดยเติม EM (จุลินทรีย์ที่ดี) หรือ ใบหูกวางแช่น้ำ เพื่อลดค่า pH และทำให้น้ำเหมาะสมกับการเลี้ยงปลา พักน้ำไว้ 2-3 วัน ก่อนปล่อยปลา

การเตรียมบ่อเลี้ยงปลาหมอให้ประหยัดต้นทุน ควรเลือกบ่อที่เหมาะสมกับพื้นที่และงบประมาณ ใช้วัสดุธรรมชาติช่วยปรับสภาพน้ำ และเตรียมบ่อให้พร้อมก่อนปล่อยปลา การวางแผนที่ดีตั้งแต่ต้นจะช่วยให้ปลาหมอเติบโตแข็งแรง ลดการตาย และช่วยให้การเลี้ยงมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เลือกพันธุ์ปลาหมอให้โตไวและแข็งแรง

การเลือกพันธุ์ปลาหมอเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการเจริญเติบโต อัตรารอด และคุณภาพของเนื้อปลา หากเลือกพันธุ์ที่ดีและมีสุขภาพแข็งแรง จะช่วยให้ปลาหมอเติบโตเร็ว แข็งแรง และลดต้นทุนในการเลี้ยงได้ ในหัวข้อนี้ เราจะมาดูว่าสายพันธุ์ไหนเหมาะสม แหล่งซื้อพันธุ์ที่คุ้มค่า และเทคนิคการเลือกพันธุ์ปลาหมอที่โตไวที่สุด

สายพันธุ์ปลาหมอที่นิยมเลี้ยง

ในประเทศไทย มีปลาหมอหลายสายพันธุ์ที่นิยมนำมาเลี้ยงเพื่อการบริโภค แต่ละสายพันธุ์มีลักษณะเด่นแตกต่างกัน สายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมและเลี้ยงกันอย่างแพร่หลาย มีดังนี้
ปลาหมอไทย

  • ปลาหมอไทย (Thai Red Tilapia)
    ปลาหมอไทยเป็นสายพันธุ์ที่ผสมขึ้นมาเพื่อให้มีสีสันสวยงาม เช่น สีแดงหรือสีชมพู แต่ยังคงคุณสมบัติโตเร็วและแข็งแรงเหมือนปลาหมอเทศ หลายคนชอบเลี้ยงเพราะดูแลง่ายและขายได้ราคาดี
  • ปลาหมอเทศ (Nile Tilapia)
    ปลาหมอเทศเป็นสายพันธุ์ที่นิยมมากที่สุดในประเทศไทย เพราะโตเร็ว อึดทน และปรับตัวได้ดีในสภาพแวดล้อมต่างๆ นอกจากนี้ยังมีเนื้อเยอะ เหมาะสำหรับการทำอาหารหลากหลายเมนู
    ปลาหมอชุมพร 1
  • ปลาหมอชุมพร 1
    เป็นสายพันธุ์ปลาหมอที่ได้รับการปรับปรุงพันธุ์ให้โตเร็ว เลี้ยงง่าย และทนทานต่อสภาพแวดล้อมได้ดี มีลำตัวใหญ่ เนื้อแน่น รสชาติดี เหมาะสำหรับการเลี้ยงเชิงพาณิชย์ สามารถเลี้ยงได้ทั้งในบ่อดินและบ่อซีเมนต์ จึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับเกษตรกรที่ต้องการปลาที่เลี้ยงง่ายและให้ผลผลิตสูง
  • ปลาหมอโคราช (พันธุ์ลูกผสม) โตไว อัตราการรอดสูง มีเนื้อแน่น รสชาติดี เป็นพันธุ์ที่นิยมในฟาร์มเลี้ยงเชิงพาณิชย์

สายพันธุ์ที่แนะนำสำหรับการเลี้ยงเชิงพาณิชย์ ปลาหมอชุมพร 1 และ ปลาหมอโคราช เพราะโตไว อัตราการรอดสูง และให้ผลผลิตเร็ว

แหล่งซื้อพันธุ์ปลาคุณภาพดีในราคาประหยัด

การเลือกแหล่งซื้อพันธุ์ปลาหมอที่ดีจะช่วยให้ได้ลูกปลาที่แข็งแรง โตไว และลดอัตราการสูญเสีย ซึ่งสามารถเลือกซื้อได้จากแหล่งต่อไปนี้ เช่น ศูนย์เพาะพันธุ์ปลาของกรมประมง, ฟาร์มเพาะพันธุ์ปลาที่เชื่อถือได้, ซื้อจากเกษตรกรโดยตรงมักได้ราคาที่ถูกกว่าฟาร์มใหญ่ การสั่งซื้อจำนวนมากอาจจะช่วยลดต้นทุนต่อตัวได้และควรซื้อพันธุ์ปลาที่มีอายุเหมาะสม (ประมาณ 3-4 สัปดาห์) เพราะปรับตัวง่ายและรอดสูง

การเลือกพันธุ์ปลาหมอให้ดีตั้งแต่ต้น จะช่วยให้การเลี้ยงเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดต้นทุน และได้ผลผลิตที่คุ้มค่ามากที่สุด

อาหารปลาหมอแบบต้นทุนต่ำ

การเลือกอาหารให้ปลาหมอเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโต สุขภาพของปลา และต้นทุนในการเลี้ยง อาหารที่ดีต้องให้สารอาหารครบถ้วน ช่วยให้ปลาหมอโตเร็ว แข็งแรง และลดอัตราการสูญเสีย เราจะเปรียบเทียบระหว่างอาหารสำเร็จรูปกับอาหารทำเอง พร้อมทั้งแนะนำสูตรอาหารปลาหมอจากวัตถุดิบธรรมชาติ และเทคนิคให้อาหารกันครับ

อาหารปลาสำเร็จรูป

เป็นอาหารที่ผลิตจากโรงงาน มีสารอาหารครบถ้วนตามที่ปลาต้องการและสะดวกต่อการใช้งาน แต่มีต้นทุนสูงกว่าการทำอาหารเอง

ข้อดี มีสารอาหารครบถ้วน ช่วยให้ปลาหมอเติบโตเร็ว ควบคุมปริมาณโปรตีน ไขมัน และวิตามินได้ดี ใช้งานสะดวก ประหยัดเวลา

ข้อเสีย ราคาสูง ทำให้ต้นทุนการเลี้ยงเพิ่มขึ้น บางยี่ห้ออาจมีสารเคมีหรือฮอร์โมนเร่งโต ต้องมีการเก็บรักษาให้ดี มิฉะนั้นอาจขึ้นรา

อาหารทำเอง

ข้อดี ประหยัดต้นทุนกว่าการใช้อาหารสำเร็จรูป ปลอดภัยจากสารเคมีและฮอร์โมนเร่งโต สามารถปรับสูตรให้เหมาะกับปลาหมอในแต่ละช่วงวัย

ข้อเสีย ต้องใช้เวลาในการเตรียมอาหารนานหน่อยและ อาจต้องมีความรู้ในการปรับสูตรให้เหมาะสม

สูตรอาหารปลาหมอทำเองจากวัตถุดิบธรรมชาติ

การทำอาหารปลาหมอเองไม่ยากเลย! เพียงแค่คุณใช้วัตถุดิบที่มีประโยชน์และหาได้ง่ายในท้องถิ่น มาดูสูตรอาหารปลาหมอที่นิยมใช้กัน

สูตรที่ 1 กากถั่วเหลือง + รำข้าว + ปลายข้าว

ส่วนผสม

  • กากถั่วเหลือง 50% (แหล่งโปรตีนสูง)
  • รำข้าว 30% (คาร์โบไฮเดรตและไฟเบอร์)
  • ปลายข้าว 20% (เพิ่มพลังงาน)

วิธีทำ
นำส่วนผสมทั้งหมดมาคลุกเคล้าให้เข้ากัน จากนั้นนำไปตากแดดจนแห้ง แล้วบดให้ละเอียด เก็บใส่ถุงไว้ให้อาหารปลาได้นานหลายวัน

สูตรที่ 2 ผักสด + ปลาป่น

ส่วนผสม

  • ผักสด เช่น ใบตำลึง ผักบุ้ง หรือฟักทอง (แหล่งวิตามินและแร่ธาตุ)
  • ปลาป่น หรือเศษปลาสด (แหล่งโปรตีน)

วิธีทำ

หั่นผักสดเป็นชิ้นเล็กๆ ผสมกับปลาป่นหรือเศษปลาสด นำไปตากแดดให้แห้ง แล้วบดเป็นผงละเอียด

สูตรที่ 3 ข้าวสุก + รำข้าว + ปลาป่น

ส่วนผสม

  • ข้าวสุก 40% (คาร์โบไฮเดรต)
  • รำข้าว 40% (ไฟเบอร์และพลังงาน)
  • ปลาป่น 20% (โปรตีน)

วิธีทำ
ผสมส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน ปั้นเป็นก้อนเล็กๆ หรือแผ่นแบน แล้วนำไปตากแดดจนแห้ง

เคล็ดลับเพิ่มเติม  ควรตรวจสอบว่าวัตถุดิบที่ใช้สะอาดและปลอดภัยจากสารเคมี อาหารที่ทำเองควรถูกเก็บในที่แห้งและเย็นเพื่อป้องกันการเน่าเสีย

การให้อาหารให้เหมาะสมเพื่อลดการสูญเสีย

การให้อาหารปลาหมออย่างถูกวิธี จะช่วยลดการสูญเสียอาหารและเพิ่มประสิทธิภาพการเจริญเติบโตของปลา โดยการให้อาหารปลาหมอควรได้รับอาหารวันละ 2-3 ครั้ง เช่น เช้า กลางวัน และเย็น โดยเว้นระยะห่างระหว่างมื้ออาหารอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมง และให้อาหารในปริมาณที่ปลาสามารถกินหมดภายใน 10-15 นาที หากพบว่าอาหารเหลือหลังจากเวลาดังกล่าว แสดงว่าคุณให้อาหารมากเกินไป

เลี้ยงปลาหมอ

เลี้ยงปลาหมอแล้วขายที่ไหน? ช่องทางการจำหน่ายปลาหมอ

เมื่อคุณเลี้ยงปลาหมอจนโตและพร้อมเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว สิ่งสำคัญต่อไปคือการหาตลาดหรือช่องทางในการจำหน่ายปลา เพื่อให้คุณสามารถสร้างรายได้จากความพยายามที่ลงทุนไป มาดูกันว่ามีช่องทางใดบ้างที่คุณสามารถใช้ในการขายปลาหมอ และแต่ละช่องทางมีข้อดีอย่างไร!

  1. ขายในชุมชนไกล้เคียง

การขายในชุมชนเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดและใกล้ตัวที่สุด โดยเฉพาะถ้าคุณอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีความต้องการบริโภคปลาสูง เช่น หมู่บ้าน ตลาดนัด หรือชุมชนรอบตัวก็สามารถนำปลาไปขายได้

  1. ขายส่งให้ร้านอาหารหรือตลาดสด

หากคุณเลี้ยงปลาหมอจำนวนมาก การขายส่งให้ร้านอาหารหรือตลาดสดอาจเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะคุณสามารถขายปลาได้ครั้งละมากๆ และมีรายได้แน่นอน โดยการติดต่อเจ้าของร้านอาหารท้องถิ่น เช่น ร้านต้มยำ ร้านส้มตำ หรือร้านอาหารตามสั่ง หรือเสนอขายให้กับพ่อค้าแม่ค้าในตลาดสด

  1. ขายออนไลน์ผ่านโซเชียลมีเดีย

ในยุคดิจิทัล การขายปลาหมอผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นอีกช่องทางที่ได้รับความนิยม เพราะสามารถเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขวางและสะดวก โดยการโพสต์ขายปลาหมอใน Facebook, Instagram, หรือ LINE เป็นต้น


บทความอื่นที่น่าสนใจ

สูตรกำจัดแมลงเร่งด่วน ผสมแล้วใช้ได้ทันที

สูตรกำจัดแมลงเร่งด่วน ผสมแล้วใช้ได้ทันที

สูตรกำจัดแมลงเร่งด่วน

เบื่อไหมกับปัญหาแมลงกวนใจที่เข้ามารุกรานบ้าน ไม่ว่าจะเป็นมด, แมลงสาบ หรือยุง ที่สร้างความรำคาญและอาจเป็นพาหะนำโรค? หลายครั้งผลิตภัณฑ์กำจัดแมลงตามท้องตลาดอาจมีสารเคมีรุนแรง ส่งผลต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม วันนี้เราขอแนะนำ สูตรกำจัดแมลงเร่งด่วน ที่สามารถ ผสมและใช้งานได้ทันที ปลอดภัย ใช้วัตถุดิบง่ายๆ ที่หาได้ในบ้าน พร้อมกำจัดแมลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลองทำตามสูตรนี้ แล้วบอกลาปัญหาแมลงกวนใจไปได้เลย!

อัตราส่วนผสมนะครับ

  • น้ำเปล่า 1 ลิตร
  • สุราขาว 5 ซีซี
  • น้ำส้มสายชู 5 ซีซี
  • น้ำส้มควันไม้ 5 ซีซี

ผสมให้เข้ากันแล้วนำไปใช้ฉีดพ่นใบพืชรวมทั้งพื้นดินรอบต้นพืชทุก 7-15 วัน เพื่อขับไล่แมลงในช่วงเวลาเย็นหลัง 17.00 น. เป็นต้นไป

สรรพคุณ

  • กลิ่นฉุนขอบสุราจะช่วยขับไล่แมลง
  • ความเป็นกรดของน้ำส้มสายชูจำทำให้แมลงระคายเคืองและบินหนีไป

ประโยชน์ของน้ำส้มควันไม้

  • นอกจากขับไล่แมลง ยังมีส่วนป้องกันโรครากเน่าโคนเน่าจากเชื้อราในพืช
  • ช่วยในการฟื้นฟูและปรับสภาพดินให้ร่วนซุย เหมาะแก่การปลูกพืช
  • ช่วยเร่งการเจริญเติบโตของรากพืช กระตุ้นความต้านทานโรคในพืช
  • ช่วยในการเร่งให้พืชออกดอกและติดผลง่ายขึ้น ไม่หลุดร่วงง่าย
  • ช่วยในการสังเคราะห์น้ำตาลของพืชทำให้ผักและผลไม้มีรสดีและหวาน
  • มีคุณสมบัติเป็นสารจับใบ

ที่มา : เพจ กลุ่มศูนย์รวมความรู้เกษตร


บทความอื่นที่น่าสนใจ

ปลูกพืช 9 ทิศ ใน 1 หลุม หรือ หลุมพอเพียง ไล่แมลง พืชดูแลกันเอง

ปลูกพืช 9 ทิศ ใน 1 หลุม หรือ หลุมพอเพียง ไล่แมลง พืชดูแลกันเอง

หลุมพอเพียง

ทำความรู้จัก หลุมพอเพียง คืออะไร?

หลุมพอเพียง ฟังชื่อแล้วหลายท่านอาจจะยังไม่ค่อยรู้จัก หลุมพอเพียงนั้นเป็นแนวคิดในการปลูกต้นไม้หลายชนิดรวมกันหนึ่งหลุม ให้ต้นไม้แต่ละชนิดช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน พึ่งพาอาศัยข้อดีของกันและกัน เช่น ต้นไม้ใหญ่ เป็นร่มเงาให้ต้นไม้เล็ก พืชเลื้อยคลุมหน้าดินลดการระเหยของน้ำในหน้าดิน ช่วยให้พืชในหลุมทนแล้งได้ดี หรือ พืชสมุนไพรที่มีฤทธิ์แสบร้อย ช่วยขับไล่แมลงที่จะบุกรุกเข้ามาในสวน วันขอนำเสนอตัวอย่างหลุมพอเพียงซึ่งมีชื่อว่า “หลุมส้มตำ” จะเป็นอย่างไรนั้นไปดูกันเลย หลุมส้มตำ ประกอบด้วย ต้นกล้วย มะละกอ มะเขือ มะนาว พริก ที่ตั้งชื่อว่าหลุมส้มตำเนื่องจากพืชที่ปลูกนี้เป็นส่วนประกอบของส้มตำอาหารยอดนิยมของคนไทยนั้นเอง ซึ่งพืชจำพวกนี้เมื่อปลูกหลุมเดียวกันจะช่วยเกื้อกูลกันในด้านต่าง ๆ มากมาย

แนวทางการปลูกพืช 9 ทิศ หรือ เรียกง่ายๆ ว่า หลุดพอเพียง นั้นเอง มีอะไรบ้าง ปลูกยังไง เริ่มจากไหน บทความนี้เรามีคำตอบครับ

  • ตรงกลาง
    ปลูกพืชพี่เลี้ยง เช่น กล้วย 1-2 ต้น ให้ความชุ่มชื้น กับไม้ทั้ง 8 ต้น บังแดดตอนบ่ายให้พืชอื่นๆ เมื่อปลูก 1 ปี จะได้กล้วยเครือแรกให้ตัดทิ้ง ปล่อยหน่อใหม่ให้เกิดขึ้นมา
  • ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
    ปลูกไม้หลัก ปลูกห่างจากกล้วย อย่างน้อย 50 ซม. ให้กล้วยเป็นพี่เลี้ยง ให้ความชื้นบังแดดจนกว่าจะโต เช่น ขนุน มะม่วง มะนาว กระท้อน
  • ทิศตะวันออก
    ปลูกไม้ดอก ที่ชอบแดดช่วงเช้า ปลูกเพื่อล่อผึ้งมาผสมเกสร
  • ทิศตะวันออกเฉียงใต้
    ปลูกผักสวนครัว ที่ชอบแดดเช้า ปลูกใกล้ไม้ดอก เช่น พริก มะเขือ กะเพรา ผักต่างๆ ที่เป็นไม้พอกิน เก็บผลได้ไว
  • ทิศใต้
    ปลูกไม้หัวใต้ดิน ทิศใต้ได้รับแดดบ่ายมาก เอาไม้ห้วใต้ดินไม่กลัวแดด ต้องการน้ำน้อย ช่วยคลุมดินได้ไว เช่น มัน เผือก ข่า ขิง กระชาย ขมิ้น เป็นต้น
  • ทิศตะวันตกเฉียงใต้
    ปลูกไม้เบิกนำ ทิศนี้รับแดดบ่ายเต็มที่ เลือกพืช โตไว ต้องการน้ำน้อย หนึ่งปีได้กิน ตัดแต่งทรงไม่ให้สูง ให้เก็บดอก ยอดกินง่าย กิ่งใบ ย่อยสลายเป็นปุ๋ยให้หลุมได้ง่าย เช่น แค มะรุม ขี้เหล็ก เป็นต้น
  • ทิศตะวันตก
    ปลูกพืชคลุมดิน ทิศนี้ก็รับแดดบ่ายเต็มๆ ปลูกไม้พอกิน ไม้พุ่ม ไม้เตีย ใบเยอะ ช่วยบังแดดให้ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ทิศเหนือ ตัดใบมาคลุมหลุมแทนฟางได้ เช่น อ้อย อ้อยดำ ตะไคร้ หญ้าหวาน ข้าวโพด
  • ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
    ปลูกผักอายุยืน ผักพื้นบ้าน ที่ปลูกครั้งเดียวแล้วเก็บกินได้ตลอด เป็เช่น ผักไชยา ผักชะอม ผักหวาน ดีปลาช่อน ผักหลอด เหรียง เป็นต้น
  • ทิศเหนือ
    ปลูกสมุนไพร เช่น สาบเสือ ฟ้าทะลายโจร เป็นต้น ดูน้อยลง

หลุมพอเพียง

ข้อดีของการปลูกพืชแบบหลุมพอเพียง

ถือเป็นกุศโลบายอย่างหนึ่งที่ทำให้พืชหลักที่ต้องการปลูก เช่น ไม้ผล ไม้ยืนต้น ไม้ป่ายืนต้น เจริญเติบโตและมีโอกาสรอดสูง เพราะผู้ปลูกจะคอยห่วงใยหมั่นดูแล ทำให้พืชหลัก ดังกล่าวเจริญเติบโตดีกว่าปกติอีกด้วยและหากพืชชนิดใดชนิดหนึ่งจะเบียดเบียนพืชอื่นมากเกินไปก็คอยควบคุมให้เหมาะสมตัดแต่งทรงพุ่มจัดพืชหรือเถาเลี้อยให้เหมาะสมตัดแต่งทรงพุ่มจัดพืชหรือเถาเลี้อยให้เหมาะสม สำหรับพืชพี่เลี้ยงก็ไม่ต้องใส่ใจมาก


บทความอื่นที่น่าสนใจ

สูตรปุ๋ยฮอร์โมนจากเปลือกไข่ ช่วยเพิ่มธาตุแคลเซียมบำรุงราก เร่งดอกให้กับ

สูตรปุ๋ยฮอร์โมนจากเปลือกไข่ ช่วยเพิ่มธาตุแคลเซียม บำรุงราก เร่งดอกให้กับพืช

สูตรปุ๋ยฮอร์โมนจากเปลือกไข่

ปุ๋ยฮอร์โมนจากเปลือกไข่ คืออะไร?

ปุ๋ยฮอร์โมนจากเปลือกไข่เป็นปุ๋ยอินทรีย์ที่ช่วยบำรุงดินและพืชให้แข็งแรงขึ้น เปลือกไข่มีธาตุอาหารสำคัญที่พืชต้องการ เช่น แคลเซียม โพแทสเซียม และกัมถัน ซึ่งมีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตของพืชทุกชนิด โดยเฉพาะพืชผักสวนครัว ไม้ดอก และไม้ผล

วิธีทำปุ๋ยฮอร์โมนจากเปลือกไข่

เตรียมวัตถุดิบ

  • เปลือกไข่ที่ล้างสะอาดและตากแห้ง
  • เกลือป่นเล็กน้อย
  • ผงชูรสเล็กน้อย (ช่วยเร่งการดูดซึมของพืช)

วิธีการทำ

  • นำเปลือกไข่มาบดให้ละเอียด (สามารถใช้ครกหรือเครื่องบดช่วยได้)
  • ผสมเกลือและผงชูรสลงไปในเปลือกไข่ที่บดแล้ว

นำไปใช้

  • โรยรอบๆ โคนต้นไม้ หรือคลุกผสมกับดินปลูก
  • รดน้ำตามเพื่อช่วยให้สารอาหารซึมเข้าสู่ดิน

ระยะเวลาออกฤทธิ์

  • ประมาณ 7 วัน เปลือกไข่จะเริ่มย่อยสลาย และสารอาหารจะถูกปล่อยออกมาให้พืชดูดซึมไปใช้ได้

สารอาหารที่อยู่ในเปลือกไข่ และประโยชน์ต่อพืช

  • แคลเซียม
    • ช่วยให้ลำต้นแข็งแรง ลดการหักโค่นของพืช
    • ป้องกันผลแตกในพืชที่ออกผล เช่น มะเขือเทศ พริก มะนาว
  • โพแทสเซียม
    • ช่วยเร่งการเจริญเติบโตของรากและใบ
    • ส่งเสริมการเจริญเติบโตของผักกินใบ ทำให้ใบกรอบ สีเขียวเข้ม น่ารับประทาน
  • กัมถัน
    • มีฤทธิ์ช่วยขับไล่แมลงศัตรูพืชบางชนิด
    • ช่วยลดการเกิดโรครากเน่าและเชื้อราในดิน

ข้อดีของปุ๋ยฮอร์โมนจากเปลือกไข่

  • เป็นปุ๋ยอินทรีย์ ไม่มีสารเคมีตกค้าง ปลอดภัยกับคนและสิ่งแวดล้อม
  • ช่วยลดขยะอินทรีย์ นำเปลือกไข่มาใช้ประโยชน์แทนการทิ้ง
  • ต้นทุนต่ำ ทำเองได้ง่ายจากวัตถุดิบที่มีในครัวเรือน
  • ช่วยปรับปรุงดิน เพิ่มธาตุอาหารให้ดิน ช่วยให้ดินร่วนซุย เหมาะสำหรับการปลูกพืช

ข้อเสียและข้อควรระวัง

  • ใช้มากเกินไปอาจทำให้ดินเค็ม เนื่องจากมีเกลือเป็นส่วนประกอบ ควรใช้ในปริมาณที่เหมาะสม
  • ต้องใช้เวลาย่อยสลาย เปลือกไข่ไม่ได้ให้ผลทันที ต้องรอให้สลายตัวก่อนที่พืชจะดูดซึมไปใช้ได้
  • อาจดึงดูดสัตว์ฟันแทะ หากไม่ล้างเปลือกไข่ให้สะอาดก่อนนำไปใช้ อาจมีกลิ่นที่ดึงดูดหนูหรือแมลงบางชนิด

ปุ๋ยฮอร์โมนจากเปลือกไข่เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการบำรุงพืชแบบธรรมชาติ มีประโยชน์หลายด้าน ช่วยให้พืชเติบโตแข็งแรง ดอกและผลดกขึ้น แต่ก็ควรใช้อย่างเหมาะสมเพื่อป้องกันผลกระทบต่อดินและพืช หากใช้ถูกต้องจะช่วยเพิ่มผลผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน


บทความอื่นที่น่าสนใจ

ห่มดิน เลี้ยงดินให้มีชีวิต ฟื้นชีวิตให้แผ่นดิน

050ห่มดิน เลี้ยงดินให้มีชีวิต ฟื้นชีวิตให้แผ่นดิน

ห่มดิน

การ “ห่มดิน” หรือ “คลุมดิน” โดยใช้ฟาง เศษหญ้า หรือใบไม้ที่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ และใส่อาหารให้แก่ดิน ด้วยการใส่ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพลงไป เพื่อให้อาหารแก่ดิน แล้วดินจะปล่อยธาตุอาหารให้พืช โดยกระบวนการย่อยสลายของจุลินทรีย์เรียกหลักการนี้ว่า “เลี้ยงดิน ให้ดินเลี้ยงพืช” การปฏิบัติเช่นนี้ จะทำให้ดินกลับมามีชีวิต เป็นการ “คืนชีวิตให้แผ่นดิน”

ประโยชน์ของการห่มดิน

  • เป็นที่อยู่อาศัยของจุลินทรีย์
  • เป็นอาหารให้สัตว์หน้าดิน เช่น ไส้เดือน กิ้งกือ ฯลฯ ซึ่งช่วยพรวนดิน และถ่ายมูลเป็นปุ๋ยให้พืช
  • เก็บรักษาความชื้น
  • เมื่อย่อยสลายจะกลายเป็นฮิวมัส ซึ่งเป็นปุ๋ยให้กับพืช

จุลินทรีย์?

จุลินทรีย์ (Microorganism) คือ สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กมากที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ช่วยในการส่องดู จุลินทรีย์มีหลายประเภท เช่น แบคทีเรีย ไวรัส รา โปรโตซัว และสาหร่ายขนาดเล็ก ซึ่งสามารถพบได้ในดิน น้ำ อากาศ อาหาร และร่างกายของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ

ประโยชน์ของจุลินทรีย์

  • ช่วยตรึงไนโตรเจนจากอากาศ ซึ่งในอากาศมีก๊าชไนโตรเจนอยู่ถึง 78%
  • ช่วยย่อยสลายซากพืช ซากสัตว์
  • ช่วยย่อยแร่ธาตุที่อยู่ในหิน ลูกรัง ทราย เช่น ธาตุอาหาร กลุ่ม เหล็ก แมงกานีส สังกะสี ฟอสฟอรัส เป็นต้น
  • ช่วยผลิตฮอร์โมนให้พืช
  • ช่วยผลิตสารป้องกันโรคพืช

วิธีการห่มดิน

  • ห่มดินด้วยฟาง เศษหญ้า หรือใบไม้ รอบโคนต้นไม้ประเภทไม้ยืนต้น โดยเว้นให้ห่างจากโคนต้นไม้ 1 คืบ ห่มหนา 1 คืบ–1 ฟุต ทำเป็นวงเหมือนโดนัท โรยด้วยปุ๋ยคอก (มูลสัตว์) บาง ๆ และรดด้วยน้ำหมักชีวภาพผสมน้ำเจือจาง อัตราส่วน 1 : 50-100
  • ห่มดินในที่ดินผืนใหม่ที่เพิ่งขุดปรับพื้นที่ หรือดินที่เสื่อมสภาพ เพื่อปรับปรุงคุณภาพของดินก่อนเริ่มการเพาะปลูก ด้วยการห่มฟาง เศษหญ้า หรือใบไม้ ให้หนาอย่างน้อย 1 ฟุต ทั้งแปลง โรยด้วยปุ๋ยคอก แล้วราดรดด้วยน้ำหมักชีวภาพผสมน้ำเข้มข้น อัตราส่วน 1 : 10
  • โดยวิธีนี้ เป็นการระเบิดดินที่แห้งแข็ง ให้มีความชุ่มชื้น (ฟางห่มคลุมดินเพื่อลดการระเหยของน้ำในดิน ปุ๋ยคอกที่ใส่เพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุ

น้ำหมักทำหน้าที่ย่อยสลายทั้งปุ๋ยและฟาง ให้กลายเป็นอินทรียวัตถุได้เร็วขึ้น) ซึ่งวิธีนี้อาจต้องใช้เวลา 3 เดือนขึ้นไป โดยยังไม่ควรปลูกพืชใด ๆ เพราะน้ำหมักที่เข้มข้นอาจทำให้ต้นไม้ตายได้

อ้างอิง :


บทความอื่นที่น่าสนใจ

เปิด ทฤษฎีบันได 9 ขั้นสู่ความพอเพียง หลักคิดแห่งการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน

ทฤษฎีบันได 9 ขั้นสู่ความพอเพียง

ทฤษฎีบันได 9 ขั้นสู่ความพอเพียง

ศาสตร์พระราชาความสุขอย่างยั่งยืน ลองปรับใช้ไม่จนแน่นอนทฤษฏีบันได 9 ขั้นสู่ความพอเพียง เป็นแนวทางที่ใช้ลำดับขั้นเพื่อเดินตามไปทีละขั้น ค่อยๆ ก้าวไปแบบยั้งยืนและมั่นคง ซึ่งหากใครทำตามได้ รับรองว่าไม่มีจนแน่นอน โดยแต่ละขั้นจะมีดังนี้

บันไดขั้นที่ 1-4 คือ เศรษฐกิจพอเพียงขั้นพื้นฐาน

ขั้นที่ 1 พอกิน

พื้นฐานที่สุดของมนุษย์ คือ ความต้องการปัจจัย 4 และประการสำคัญที่สุดของปัจจัย 4 คือ อาหาร ขั้นที่ 1 ของแนวทางแก้ปัญหาที่ยั่งยืนคือ ตอบคำถามให้ได้ว่า “ทำอย่างไรจึงจะพอกิน” โดยให้ความสำคัญกับ ข้าวปลาอาหาร ไม่ให้ความสำคัญกับเงิน ซึ่งเป็นเพียงแค่ “ตัวกลาง” ในการแลกเปลี่ยนตามมาตรฐานสากล โดยยึดหลักว่า “เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาสิของจริง”

เกษตรกรต้องเริ่มจากการอยู่ให้ได้โดยไม่ใช้เงิน มีอาหารพอมี พอกิน ด้วยการปลูกพืช ผัก ผลไม้ ให้พอกิน ชาวนาต้องเก็บข้าวไว้ให้เพียงพอสำหรับการมีกินทั้งปี ไม่ขายข้าวเปลือกเพื่อนำเงินไปซื้อข้าวสาร

นอกจากนั้น หัวใจสำคัญของ “พอกิน” ยังมีความหมายรวมไปถึงความปลอดภัยในอาหาร กินอย่างไรให้มีสุขภาพดี ไม่สะสมเอาความเจ็บไข้ได้ป่วยไว้ในร่างกาย นี่คือความหมายของบันไดขั้นที่ ๑ ที่เกษตรกรต้องก้าวข้ามให้ได้

ขั้นที่ 2-4 พอใช้ พออยู่ พอร่มเย็น

เกิดขึ้นได้พร้อมกัน ด้วยคำตอบเดียวคือ “ปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง” ซึ่งป่า 3 อย่างจะให้ทั้ง อาหาร เครื่องนุ่งห่ม สมุนไพรสำหรับรักษาโรค ทั้งโรคคน โรคพืช โรคสัตว์ ให้ไม้สำหรับทำบ้านพักที่อยู่อาศัย และให้ความร่มเย็นกับบ้าน กับชุมชน กับโลกใบนี้ ซึ่งเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาความยากจนของเกษตรกรไทย

ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถแก้ปัญหาได้จริง และยังสามารถย้อนกลับไปแก้ไขปัญหาหนี้สินซึ่งสะสมพอกพูนจากการทำ เกษตรเชิงเดี่ยว ปัญหาความเสื่อมโทรมของทรัพยากร ปัญหาความขาดแคลนนำ ภัยแล้ง ทั้งหมดล้วนแก้ไขได้จากแนวคิดป่า 3 อย่างประโยชน์ 4 อย่างขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ

บันไดขั้นที่ 5-9 คือ เศรษฐกิจพอเพียงขั้นก้าวหน้า

ขั้นที่ 5-6 บุญและทาน

เครือข่ายเศรษฐกิจพอเพียง เชื่อมั่นว่าสังคมไทยเป็นสังคมบุญ สังคมทาน ไม่เน้นการแลกเปลี่ยนทางการค้า แต่เน้นการทำบุญ ไม่เน้นการสะสมเป็นของส่วนตัว แต่เน้นการให้ทานและสะสมโดยมอบให้เป็นทรัพย์สินส่วนรวมโดยวัด หรือศาสนสถานตามแต่ละศาสนาเป็นศูนย์กลาง

เป็นการฝึกจิตใจ ให้ละซึ่งความโลภ และกิเลสในการอยากได้ ใคร่มี ลดปัญหาช่องว่างระหว่างชนชั้น ตามความหมายอันลึกซึ้งของคำ “ยิ่งทำยิ่งได้ ยิ่งให้ยิ่งมี” การให้ไปคือได้มา และเชื่อมั่นในฤทธิ์ของทาน ว่าทานมีฤทธิ์จริง และจะส่งผลกลับมาเป็นเพื่อน เป็นกัลยาณมิตร เป็นเครือข่ายที่ช่วยเหลือกันในทุกสถานการณ์ แม้ในวันที่โลกนี้ประสบกับวิกฤตการณ์

ขั้นที่ 7 เก็บรักษา

ขั้นต่อไปหลังจากสามารถพึ่งตนเองได้ พอมี พอเหลือทำบุญ ทำทานแล้ว คือการรู้จักเก็บรักษา ซึ่งเป็นการตั้งอยู่ในความไม่ประมาท และการรู้จักเก็บรักษา ยังเป็นการสร้างรากฐานของการเอาตัวรอดในเวลาเกิดวิกฤตการณ์ โดยยึดแนวทางตามวิถีชีวิตชาวนาสมัยก่อนซึ่งเก็บรักษาข้าวไว้ในยุ้งฉางเพื่อ ให้พอมีกินข้ามปี คัดเลือกและเก็บรักษา “ข้าวพันธุ์” ไว้สำหรับเป็นพันธุ์ข้าวในปีต่อไป

ทฤษฎีบันได 9 ขั้นสู่ความพอเพียง

ซึ่งผิดกับวิถีชาวนาในปัจจุบันที่ใช้วิธีการขายข้าวทั้งหมด แล้วนำเเงินที่ขายได้ไปซื้อพันธุ์ข้าวเพื่อปลูกในปีต่อไป ส่งผลให้เกิดการขาดความมั่นคงและเปรียบเสมือนการใช้ชีวิตอยู่บนเส้นทางสาย ความประมาท เพราะหากเกิดภัยแล้ง น้ำท่วม ผลผลิตไม่ได้ตามที่ตั้งใจไว้ ย่อมหมายถึงปัญหาหนี้สินและการขาดแคลนพันธุ์ข้าวสำหรับปลูกในปีต่อไป

นอกจากเก็บพันธุ์ข้าวแล้ว ยังเน้นให้รู้จักวิธีการถนอมอาหาร การสะสม อาหารไว้กินในยามหน้าแล้ง ด้วยการแปรรูปอาหารหลากชนิด อาทิ ปลาร้า ปลาแห้ง มะขามเปียก พริกแห้ง หอม กระเทียม เพื่อเก็บไว้กินในอนาคต

ขั้นที่ 8 ขาย

เนื่องจากเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ใช่เศรษฐกิจการค้า แต่ก็ไม่ใช่เศรษฐกิจหลังเขา การค้าขายสามารถทำได้ แต่ทำภายใต้การรู้จักตนเอง รู้จักพอประมาณ และทำไปตามลำดับ โดยของที่ขาย คือ ของที่เหลือจากทุกขั้นแล้วจึงนำมาขาย เช่น ทำนาอินทรีย์ ปลูกข้าวปลอดสารเคมี ไม่ทำลายธรรมชาติ ได้ผลผลิตเก็บไว้พอกิน เก็บไว้ทำพันธุ์ ทำบุญ ทำทาน แล้วจึงนำมาขายด้วยความรู้สึกของการ “ให้” อยากที่จะให้สิ่งดีๆ ที่เราปลูกเอง เผื่อแผ่ให้กับคนอื่นๆ ได้รับสิ่งดีๆ นั้นๆ ด้วย

การค้าขายตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง จึงเป็นการค้าที่มองกลับด้าน “เพราะรักคุณจึงอยากให้คุณได้รับในสิ่งดีๆ” พอเพียงเพื่ออุ้มชู เผื่อแผ่ แบ่งปัน ไปด้วยกัน

ขั้นที่ 9 เครือข่าย กองกำลังเกษตรโยธิน

คือการสร้างกองกำลังเกษตรโยธิน หรือการสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงทั้งประเทศ เพื่อขยายผลความ สำเร็จตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง สู่การปฏิวัติแนวคิด และวิถีการดำเนินชีวิตของคนในสังคม ในชุมชน เพื่อการแก้ปัญหาวิกฤต 4 ประการ อันได้แก่ วิกฤตการณ์สิ่งแวดล้อม ภัยธรรมชาติ วิกฤตการณ์โรคระบาดทั้งในคน สัตว์ พืช วิกฤตเศรษฐกิจ ข้าวยากหมากแพงวิกฤตความขัดแย้งทางสังคม

ทฤษฎีบันได 9 ขั้นสู่ความพอเพียง เป็นแนวคิดของ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ที่นำหลัก ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน โดยเปรียบเทียบกับการไต่บันไดทีละขั้น เพื่อพัฒนาแนวคิดและพฤติกรรมให้เกิดความพอเพียงอย่างยั่งยืน


บทความอื่นที่น่าสนใจ

ฝุ่น PM 2.5 คืออะไร ? รู้จักให้มากขึ้นใน 5 นาที

ฝุ่น PM 2.5 คืออะไร ? รู้จักให้มากขึ้นใน 5 นาที

ฝุ่น PM 2.5 คืออะไร

ในยุคที่ปัญหามลพิษทางอากาศกลายเป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้น ชื่อของ “ฝุ่น PM 2.5” คงจะคุ้นหูกันเป็นอย่างดี แต่ฝุ่นPM 2.5 คืออะไรกันแน่? และทำไมมันถึงเป็นอันตรายต่อสุขภาพ? เรามาทำความรู้จักกันใน 5 นาทีนี้ !

ฝุ่น PM 2.5 คืออะไร?

PM 2.5 เป็นชื่อเรียกของฝุ่นละอองขนาดเล็กที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือเล็กกว่าความกว้างของเส้นผมมนุษย์ถึง 20 เท่า ฝุ่นชนิดนี้เล็กจนสามารถลอยอยู่ในอากาศได้นาน และสามารถแทรกซึมเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจของเราได้ง่าย

แหล่งที่มาของฝุ่น PM 2.5

ฝุ่น PM 2.5 เกิดจากหลายแหล่ง ทั้งแหล่งที่เกิดตามธรรมชาติและกิจกรรมของมนุษย์ ได้แก่

  • การเผาไหม้  เช่น การเผาขยะ เผาป่า หรือการเผาไหม้เชื้อเพลิงในยานพาหนะ
  • โรงงานอุตสาหกรรม  การปล่อยควันจากกระบวนการผลิตต่างๆ
  • การก่อสร้าง  ฝุ่นจากการรื้อถอนหรือสร้างอาคาร
  • แหล่งธรรมชาติ  ฝุ่นจากดิน ทราย หรือการปะทุของภูเขาไฟ

ผลกระทบของฝุ่น PM 2.5 ต่อสุขภาพ

เนื่องจาก PM 2.5 มีขนาดเล็กมาก มันจึงสามารถเข้าสู่ปอดและกระแสเลือดของเราได้ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่

  • ระบบทางเดินหายใจ  เกิดอาการไอ หายใจลำบาก หรือเสี่ยงต่อโรคปอดเรื้อรัง
  • ระบบหัวใจและหลอดเลือด เพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด
  • กลุ่มเปราะบาง  เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น หอบหืด หรือโรคหัวใจ มีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป

เราจะป้องกันตัวเองจากฝุ่น PM 2.5 ได้อย่างไร?

ในช่วงที่คุณภาพอากาศไม่ดีและค่าฝุ่นละออง PM 2.5 พุ่งสูงขึ้น การดูแลสุขภาพของตัวเองและคนรอบข้างจึงเป็นสิ่งสำคัญ ฝุ่น PM 2.5 มีขนาดเล็กมากจนสามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจและกระแสเลือดได้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ เช่น โรคทางเดินหายใจ โรคหัวใจ และปัญหาสุขภาพอื่นๆ แต่เราสามารถลดความเสี่ยงจากฝุ่น PM 2.5 ได้ด้วยวิธีการง่ายๆ และได้ผลดังนี้

  • วมหน้ากากอนามัยที่เหมาะสม  เลือกหน้ากาก N95 หรือหน้ากากที่สามารถกรองฝุ่นขนาดเล็กได้
  • หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง  โดยเฉพาะในวันที่ค่าฝุ่น PM 2.5 สูง
  • ใช้เครื่องฟอกอากาศ  ในบ้านหรือที่ทำงานเพื่อปรับปรุงคุณภาพอากาศภายในอาคาร
  • ติดตามสถานการณ์  ตรวจสอบค่าฝุ่นในพื้นที่ผ่านแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

PM 2.5 กับชีวิตของเรา

ฝุ่น PM 2.5 เป็นปัญหาที่ต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งในระดับบุคคล ชุมชน และรัฐบาล เพื่อควบคุมและลดผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมของเรา การรู้จักและเข้าใจฝุ่น PM 2.5 เป็นก้าวแรกที่จะช่วยให้เราปรับตัวและดูแลตัวเองได้อย่างเหมาะสมในยุคที่คุณภาพอากาศเป็นเรื่องสำคัญ

ใช้เวลาเพียง 5 นาทีในการรู้จักฝุ่น PM 2.5 แค่นี้ คุณก็พร้อมรับมือกับภัยร้ายจากอากาศที่มองไม่เห็นแล้ว!


บทความที่น่าสนใจ