ไอเดีย! บ้านทรงเอเฟรม ดีไซน์สวยโดดเด่น สวยงามน่าอยู่

ไอเดีย! บ้านทรงเอเฟรม ดีไซน์สวยโดดเด่น สวยงามน่าอยู่

บ้านทรงเอเฟรม

บ้านทรงเอเฟรม (A-Frame House) กำลังกลายเป็นกระแสที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในกลุ่มคนรักบ้านที่ชื่นชอบความเรียบง่ายแต่โดดเด่นไม่เหมือนใคร ด้วยรูปทรงสามเหลี่ยมที่เป็นเอกลักษณ์ตั้งแต่หลังคาจรดพื้น ผสานกับดีไซน์แบบเปิดโล่งและการใช้วัสดุธรรมชาติอย่างไม้ กระจก และเหล็ก ทำให้ บ้านทรงเอเฟรม ดูอบอุ่น มีเสน่ห์เฉพาะตัว และเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการอยู่อาศัยในบรรยากาศใกล้ชิดธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นบ้านพักตากอากาศกลางป่า รีสอร์ตริมเขา หรือแม้แต่บ้านหลังเล็กในสวนส่วนตัว

ในบทความนี้เราจะพาคุณไปชมไอเดียการออกแบบ บ้านทรงเอเฟรม ที่ทั้งสวย โดดเด่น และน่าอยู่ ทั้งในแง่ของฟังก์ชันการใช้งาน พื้นที่ใช้สอย และความลงตัวกับไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ ใครที่กำลังมองหาแรงบันดาลใจในการสร้างบ้านหรือปรับปรุงบ้านหลังใหม่ บอกเลยว่าไม่ควรพลาด!

บ้านทรงเอเฟรม

บ้านทรงเอเฟรม

บ้านทรงเอเฟรมมีจุดเด่นที่ดีไซน์สวยแปลกตา โครงสร้างสามเหลี่ยมเป็นเอกลักษณ์ ดูทันสมัยและเหมาะกับการตั้งอยู่ในธรรมชาติ เช่น ป่าเขาหรือริมทะเล อีกทั้งยังสามารถก่อสร้างได้ง่าย โครงสร้างไม่ซับซ้อน ใช้วัสดุน้อย และมักออกแบบให้มีหน้ากระจกขนาดใหญ่รับแสงธรรมชาติได้ดี ทำให้บรรยากาศภายในบ้านโปร่งโล่งน่าอยู่ จึงได้รับความนิยมในการทำเป็นบ้านพักตากอากาศ รีสอร์ต หรือคาเฟ่

บ้านทรงเอเฟรม

บ้านทรงเอเฟรมก็มีข้อจำกัด เช่น พื้นที่ใช้สอยภายในค่อนข้างจำกัด โดยเฉพาะบริเวณที่ผนังลาดเอียงซึ่งอาจจัดวางเฟอร์นิเจอร์ยาก ไม่เหมาะกับครอบครัวใหญ่ อีกทั้งหากอยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศร้อน อาจต้องติดตั้งฉนวนหรือระบบระบายอากาศเพิ่มเติม และการต่อเติมหรือปรับปรุงในอนาคตก็อาจทำได้ไม่สะดวกเท่าบ้านแบบทั่วไป

บ้านทรงเอเฟรมยกสูง

บ้านทรงเอเฟรมยกสูง

บ้านทรงเอเฟรมยกสูง

เอเฟรมยกสูง

บ้านทรงเอเฟรม ไม่ได้เป็นเพียงแค่บ้านที่มีดีไซน์แปลกตา แต่ยังสะท้อนแนวคิดของการใช้ชีวิตเรียบง่าย ใกล้ชิดธรรมชาติ และเต็มไปด้วยความอบอุ่นในทุกมุมมอง ด้วยโครงสร้างที่โดดเด่น ใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่า และออกแบบให้กลมกลืนกับสิ่งแวดล้อม จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่กำลังมองหาบ้านพักตากอากาศ รีสอร์ตส่วนตัว หรือแม้แต่บ้านหลักหลังเล็กในฝันของตนเอง


บทความอื่นที่น่าสนใจ

ไขข้อสงสัย ปุ๋ยน้ำ AB คืออะไร?

ไขข้อสงสัย ปุ๋ยน้ำ AB คืออะไร?

ปุ๋ยน้ำ AB คืออะไร

ปุ๋ยน้ำ AB คืออะไร? ทำไมคนปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ถึงนิยมใช้กันจัง?

เมื่อพูดถึงการปลูกพืชแบบไม่ใช้ดิน หรือ “ไฮโดรโปนิกส์” หลายคนคงเคยได้ยินชื่อ ปุ๋ยน้ำ AB ผ่านหูมาบ้าง แต่ยังไม่แน่ใจว่า ปุ๋ยน้ำ AB คืออะไรและแตกต่างจากปุ๋ยทั่วไปอย่างไร ปุ๋ยชนิดนี้เป็นหัวใจสำคัญของระบบปลูกพืชในน้ำ ที่ช่วยให้พืชเจริญเติบโตได้ดีแม้ไม่มีดิน เพราะมีสารอาหารครบถ้วนที่พืชต้องการ โดยแยกเป็นสองส่วนคือ A และ B เพื่อป้องกันปฏิกิริยาเคมีที่ทำให้สารบางตัวตกตะกอน หากคุณกำลังเริ่มสนใจปลูกผักปลอดสาร หรืออยากเข้าใจระบบไฮโดรโปนิกส์มากขึ้น บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ ปุ๋ยน้ำ AB แบบเจาะลึก พร้อมแนะนำการใช้งานอย่างถูกต้อง เพื่อให้คุณใช้ได้อย่างมั่นใจและได้ผลผลิตที่งอกงาม

ทำไมต้องเป็น “ปุ๋ยน้ำ AB”

ก่อนอื่น เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า เหตุใดปุ๋ยนี้จึงถูกเรียกว่า “AB” ที่มาของชื่อนี้เกิดจากการที่ธาตุอาหารในปุ๋ยน้ำสำหรับไฮโดรโปนิกส์นั้นไม่สามารถนำมาผสมรวมกันได้ทั้งหมดในคราวเดียว เนื่องจากอาจเกิดปฏิกิริยาตกตะกอน ทำให้ธาตุอาหารบางชนิดไม่สามารถดูดซึมได้ หรือลดประสิทธิภาพลงอย่างมาก ดังนั้น จึงจำเป็นต้องแยกออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ คือ ปุ๋ยน้ำ A และ ปุ๋ยน้ำ B ซึ่งแต่ละส่วนจะประกอบไปด้วยธาตุอาหารที่แตกต่างกัน

ปุ๋ยน้ำ A และ ปุ๋ยน้ำ B มีอะไรบ้าง?

โดยทั่วไปแล้ว ปุ๋ยน้ำ A จะประกอบไปด้วยธาตุอาหารหลักที่พืชต้องการในปริมาณมาก เช่น ไนโตรเจน (N), โพแทสเซียม (K), แคลเซียม (Ca) รวมถึงธาตุเหล็ก (Fe) ซึ่งเป็นจุลธาตุที่มีความสำคัญ แต่เมื่อรวมกับฟอสฟอรัส (P) ในปุ๋ยน้ำ B อาจเกิดการตกตะกอนได้ จึงต้องแยกไว้ในปุ๋ยน้ำ A ส่วน ปุ๋ยน้ำ B มักจะประกอบด้วยธาตุอาหารรองและจุลธาตุอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช เช่น ฟอสฟอรัส (P), แมกนีเซียม (Mg), กำมะถัน (S) และธาตุอาหารเสริมอื่นๆ อีกมากมาย เช่น โบรอน (B), ทองแดง (Cu), สังกะสี (Zn), แมงกานีส (Mn), โมลิบดีนัม (Mo) เป็นต้น

ความสำคัญของ ปุ๋ยน้ำ AB ต่อการปลูกไฮโดรโปนิกส์

ปุ๋ยน้ำ AB ไม่ใช่แค่ปุ๋ยธรรมดา แต่เป็นหัวใจสำคัญของการปลูกพืชไร้ดิน เพราะเป็นตัวกำหนดคุณภาพและปริมาณผลผลิต หากขาด ปุ๋ยน้ำ AB พืชก็จะไม่สามารถสังเคราะห์แสง สร้างพลังงาน หรือดูดซึมสารอาหารได้ ส่งผลให้พืชไม่เจริญเติบโต แคระแกร็น หรือถึงขั้นตายได้ ดังนั้น การเลือกใช้ ปุ๋ยน้ำ AB ที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับพืชแต่ละชนิด จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในการทำไฮโดรโปนิกส์

ข้อดีของปุ๋ยน้ำ AB

  • สารอาหารครบถ้วน  มีทั้งธาตุหลัก ธาตุรอง และธาตุเสริมที่พืชต้องการในการเจริญเติบโต
  • พืชดูดซึมได้ทันที เนื่องจากเป็นปุ๋ยในรูปของน้ำหรือของเหลว พืชสามารถดูดซึมผ่านรากได้รวดเร็ว
  • ควบคุมคุณภาพง่าย เหมาะสำหรับผู้ปลูกเชิงพาณิชย์ เพราะควบคุมสภาพแวดล้อมและคุณภาพของผลผลิตได้แม่นยำ
  • ปลอดสารตกค้างในดิน เพราะไม่ใช้ดิน จึงลดปัญหาสะสมของสารเคมีในดินหรือการปนเปื้อน
  • ใช้ร่วมกับระบบอัตโนมัติได้ดี เหมาะกับการปลูกในโรงเรือนหรือระบบน้ำหมุนเวียนที่ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์

ปุ๋ยน้ำ AB เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่ต้องการปลูกผักในระบบไฮโดรโปนิกส์หรือปลูกพืชแบบควบคุมคุณภาพสูง ด้วยคุณสมบัติที่พืชดูดซึมได้ทันที และมีสารอาหารครบถ้วน แต่ก็ต้องแลกกับต้นทุนที่สูงขึ้น และต้องมีความรู้เบื้องต้นในการใช้งาน หากคุณกำลังเริ่มต้นปลูกผักปลอดสาร ปุ๋ยน้ำ AB คืออีกหนึ่งคำตอบที่น่าสนใจ


บทความอื่นที่น่าสนใจ

บ้านทรงปั้นหยาสมัยใหม่ เรียบหรู มีสไตล์ และน่าอยู่ในทุกมุมมอง

บ้านทรงปั้นหยาสมัยใหม่ เรียบหรู มีสไตล์ และน่าอยู่ในทุกมุมมอง

บ้านทรงปั้นหยาสมัยใหม่

ในยุคที่ความเรียบง่ายกลายเป็นนิยามของความงาม บ้านทรงปั้นหยาสมัยใหม่ จึงเป็นตัวเลือกที่หลายคนหลงรัก ด้วยดีไซน์ที่ผสมผสานระหว่างความคลาสสิกของหลังคาทรงปั้นหยา เข้ากับเส้นสายและโทนสีแบบโมเดิร์น ทำให้บ้านดูเรียบหรู มีสไตล์ และน่าอยู่ในทุกมุมมอง ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ใช้สอยภายในที่ออกแบบอย่างลงตัว หรือการจัดวางหน้าต่างให้รับแสงธรรมชาติ บ้านทรงนี้จึงตอบโจทย์ทั้งความงามและฟังก์ชันการใช้งาน เหมาะสำหรับครอบครัวสมัยใหม่ที่ต้องการความอบอุ่นและความสง่างามในหลังเดียวกัน

บ้านทรงปั้นหยาสมัยใหม่

สำหรับบ้านสวยๆ สไตล์ร่วมสมัย หลังนี้เป็นบ้านสไตล์คอนเทมโพรารี่ชั้นเดียว ฟังก์ชั่นขนาด 3 ห้องนอน (1 Master) 4 ห้องน้ำ 1 ห้องโถงนั่งเล่นกว้าง พร้อมห้องรับประทานอาหารและห้องครัว มีเฉลียงนั่งหน้าประตูทางเข้า พื้นที่ใช้สอยรวมประมาณ 180 ตารางเมตร

บ้านทรงปั้นหยาสมัยใหม่

บ้านชั้นเดียวสไตล์ปั้นหยาสมัยใหม่ โดดเด่นด้วยดีไซน์หลังคาทรงปั้นหยาที่ให้ความรู้สึกแข็งแรงและหรูหรา ผสมผสานกับผนังภายนอกที่ตกแต่งด้วยโทนสีขาว เทาเข้ม และลายหินธรรมชาติ ช่วยเพิ่มมิติและความอบอุ่นให้กับตัวบ้าน หน้าต่างกระจกบานใหญ่รอบบ้าน เปิดรับแสงธรรมชาติอย่างเต็มที่ ทำให้ภายในดูโปร่งโล่งและน่าอยู่ โดยเฉพาะโถงหน้าบ้านที่มีหลังคาทรงสูง และประตูบานเลื่อนกระจกที่เชื่อมต่อพื้นที่ภายนอกได้อย่างลงตัว

บ้านทรงปั้นหยาสมัยใหม่

ฝั่งนี้ห้องด้านหน้าเป็นบานกระจกกว้าง ช่วยรับแสงและชมวิวด้านนอก  มีเฉลียงหน้าประตูทางเข้าหลัก ปูพื้นกระเบื้องสีน้ำตาลเข้ม แต่งเสาด้านหน้าด้วยหินตกแต่งสีเทาดำ เพิ่มลูกเล่นให้กับตัวบ้านด้วยหินตกแต่งสีน้ำตาลอ่อน

บ้านทรงปั้นหยาสมัยใหม่

บ้านทรงปั้นหยาสมัยใหม่

บ้านทรงปั้นหยาสมัยใหม่

ภายในห้องโถงของบ้านตกแต่งอย่างหรูหราทันสมัย โดดเด่นด้วยผนังทีวีที่ใช้ลายหินอ่อนสีดำตัดกับกรอบสีทองเงางาม ให้ความรู้สึกหรูหราและทันสมัยในเวลาเดียวกัน ด้านข้างประดับด้วยตู้โชว์กระจกบานใสและลิ้นชักสีขาวเข้าชุด เพิ่มทั้งความสวยงามและฟังก์ชันในการจัดเก็บ

เฟอร์นิเจอร์โซฟาเข้ามุมขนาดใหญ่ถูกจัดวางอย่างลงตัวบนพรมสีอบอุ่น พร้อมโต๊ะกลางกระจกสีดำดูเรียบหรู ผ้าม่านสีเทาเข้มกับผ้าซ้อนสีขาวช่วยกรองแสงอย่างนุ่มนวล เสริมบรรยากาศให้ห้องดูโปร่งโล่งและสบายตา เหมาะสำหรับพักผ่อนหรือรับแขกในทุกโอกาส

ห้องนอนสไตล์โมเดิร์นเรียบหรูโทนสีเทาโดดเด่นด้วยเตียงบุผ้ากำมะหยี่สีเทาเข้มหัวเตียงสูง พร้อมม้านั่งสตูลปลายเตียง เครื่องนอนสีขาวสะอาดตา ผ้าม่านสีเทาเข้ม พื้นไม้สีอ่อน ผนังสีเทาอ่อน และประตูบานเลื่อนไม้ ให้บรรยากาศสงบและอบอุ่น

ห้องนอนนี้ตกแต่งอย่างทันสมัยด้วยโทนสีเทาเป็นหลัก โดยมีเตียงสไตล์หลุยส์หัวเตียงบุผ้ากำมะหยี่สีเทาเข้มเป็นจุดเด่น เสริมด้วยม้านั่งสตูลปลายเตียงเข้าชุดกัน พื้นเป็นลายไม้สีอ่อน ผนังสีเทา พร้อมผ้าม่านสีเข้มและประตูบานเลื่อนไม้ ทำให้ห้องดูเรียบหรูและสงบ

ห้องน้ำนี้มีการออกแบบที่ทันสมัยและหรูหราด้วยการใช้กระเบื้องลายหินอ่อนสีขาวสลับกับกระเบื้องลายไม้สีเทาเข้มและกระเบื้องหินอ่อนสีดำที่มีลวดลายโดดเด่น อ่างล้างหน้าแบบลอยตัวสีขาวพร้อมกระจกติดผนังขนาดใหญ่ ตกแต่งด้วยเคาน์เตอร์สีดำ ส่วนพื้นที่อาบน้ำและอ่างอาบน้ำถูกกั้นด้วยกระจกใสอย่างเป็นสัดส่วน ด้านหนึ่งเป็นโถสุขภัณฑ์สีขาวเรียบง่าย ส่วนอีกด้านมีอ่างอาบน้ำจากุซซี่สีขาวติดตั้งอยู่บนฐานกระเบื้องหินอ่อนสีดำ เสริมด้วยขอบทองเหลืองที่เพิ่มความหรูหราให้กับการตกแต่งโดยรวม

ทางเว็บเป็นเพียงสื่อกลางในการแบ่งปันไอเดียเกี่ยวกับบ้านให้เพื่อนๆได้ชมเท่านั้น มิได้รับสร้างบ้านหรือออกแบบบ้านใดๆทั้งสิ้น และเราจะสรรหาไอเดียดีๆมาแบ่งปันเพื่อนๆอีกเรื่อยๆ ตามความเหมาะสม ขอขอบคุณที่ติดตามกันครับ (หากท่านใดสนใจสามารถติดต่อเจ้าของโดยตรงตามข้อมูลในแต่ละบทความได้เลยครับ)


บทความอื่นที่น่าสนใจ

กวาวเครือขาว สมุนไพรมากสรรพคุณ

กวาวเครือขาว สมุนไพรมากสรรพคุณ

กวาวเครือขาว

กวาวเครือขาว คืออะไร

กวาวเครือขาว เป็นไม้เถาเลื้อย เนื้อแข็ง อายุหลายปีมีหัวขนาดใหญ่ใต้ดิน เป็นไม้กลางแจ้งต้องการแสงมาก เจริญเติบโตได้ดีที่ระดับความสูง 300 – 800 เมตร จากระดับน้ำทะเล ดินร่วนซุย ระบายน้ำได้ดี ควรปลูกในช่วงต้นฤดูฝน ประมาณเดือนพฤษภาคม – เดือนกรกฎาคม

การเตรียมการก่อนปลูก

1) การเตรียมดิน

  • ไถ ตากดินทิ้งไว้ประมาณ 1 เดือน เก็บเศษวัชพืชออกจากแปลง
  • หว่านปูนขาว และไถพรวนอีก 1 – 2 ครั้ง พื้นที่ดอน ยกร่อง สูง 30 – 50 เซนติเมตร ระหว่างแปลงมีร่อง
    ระบายน้ำ
  • พื้นที่ลาดชัน ไม่ต้องยกร่อง แต่มีร่องระบายน้ำ
  • พื้นที่ราบหรือพื้นที่ลุ่ม ยกร่องให้สูงกว่าน้ำอย่างน้อย 1.2 เมตร ระหว่างแปลงมีร่องระบายน้ำ คอยระวังอย่าให้น้ำท่วมท่วมแปลงปลูกเกิน 3 วัน
  • รองกันหลุมปลูกด้วยปุยหมักหรือปัยคอกที่ย่อยสลายสมบูรณ์แล้วอัตรา 10 กิโลกรัมต่อหลุม คลุกเคล้ากับดิน

2) การเตรียมพันธุ์

  • การขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด มีโอกาสได้ต้นที่มีความแปรปรวนทางพันธุกรรมมาก เนื่องจากกวาวเครือขาวเป็นพืชสมตัวเอง และผสมข้ามต้นได้ สามารถทำได้โดยใช้มีดคม ตัดส่วนปลายเมล็ด ระวังไม่ให้ส่วนเนื้อในเมล็ดแตกหรือขาด นำไปเพาะในกระบะเพาะที่มีวัสดุเพาะบรรจุอยู่รดน้ำให้ชุ่ม แต่อย่าให้แฉะ เมื่อกล้ามีอายุได้ 1 เดือน ย้ายลงถุงชำที่มีวัสดุเพาะชำประกอบด้วย ดินพรุร้อยละ 50 ขุยนะพร้าว ร้อยละ 20 ขึ้นถ้าแกลบร้อยละ 20 และปุยคอก ร้อธละ 10 วางถุงเพาะชำไว้ ภายใต้หลังคาพรางแสง 50 เปอร์เซ็นต์ หากเป็นขึ้นหากเป็นพื้นชีเมนต์ ต้องหาวัสตุรองถุงเพาะชำและย้ายต้นกล้าลงแปลงปลูก เมื่อต้นกล้ามีอายุ 2 เดือน
  • การปักขำ ทำได้โดยตัดเถาที่ประกอบด้วยไบ 1 ใบ ตา 1 ตา และลำต้นยาว 4 – 5 นิ้ว ปักชำลงในแปลงเพาะชำหรือถุงชำ วัสดุเพาะชำประกอบด้วบด้วยขี้เถ้าแกลบ ร้อยละ 50 ขุยมะพร้าว ร้อยละ 20 ทรายหยาบ ร้อยละ 20 และปุ๋ยคอกที่หมักสมบูรณ์แล้ว ร้อยละ 10 ให้น้ำเป็นระยะสม่ำเสมอ ไข้เวลาปีกขำ 3 – 4 สัปดาห์ กรณีปักขำในแปลง เมื่อกิ่งปักชำออกรากให้ย้ายลงถุงชำ และให้น้ำเป็นระยะต่อไปอีก 7 วัน วางถุงเพาะชำไว้ภายใต้หลังคาพรางแสง 50 เปอร์เซ็นต์เมื่อกวาวเครือขาวแทงยอดยาวประมาณ 12 นิ้ว จึงทำการย้ายลงแปลงปลูก โดยใช้เวลาประมาณ 2 เดือน ตั้งแต่เริ่มตัดชำ

การปลูก

1 วิธีปลูก

  • ขุดหลุมปลูกขนาด 50 x 50 x 50 เซนติเมตร
  • ย้ายกล้าวางที่กันหลุมให้ลึกประมาณ 10 เซนติเมตร หลุมละ 1 ต้น กลบตินที่เหลือลงในหลุม กดดินบริเวณโคนต้นพอแน่น รดน้ำให้ชุ่ม

2 ระยะปลูก  ระยะห่างระหว่างแถวและต้น ไม่น้อยกว่า 1.5 x 1.5 เมตร

3 จำนวนต้นต่อไร่  400 ต้นต่อไร่

การดูแลรักษา

  1. การใส่ปุ๋ย  ใส่ปุยหมักหรือปุยคอก อัตรา 10 กิโลกรัมต่อต้นต่อครั้ง โดยให้ 2 ครั้งต่อปี บริเวณรอบทรงทุ่มแล้วพรวนดินกลบ โดยใส่ครั้งที่ 1 หลังปลูก 3 เดือน และครั้งที่ 2 เมื่อเริ่มออกดอก
  2. การให้น้ำ  ให้น้ำเป็นฝอยเหนือผิวดิน รอบโคนต้น ปริมาณน้ำที่ให้สังเกตจากดินในแปลงเปียกขึ้นจึงหยุดให้ และหลังจากปลูกใหม่ ๆ ต้องรดน้ำเป็นระยะ ๆ ติดต่อกันอย่างน้อย 1 – 2 เดือน (ถ้าเริ่มปลูกในฤดูแล้ง) จนกว่าจะเลื้อยพันค้างได้ เมื่อดันกวาดรือขาวอายุผ่าน 3 เดือนไปแล้ว ให้น้ำเป็นครั้งครั้งครั้งคราว

โรคและศัตรูพืชที่สำคัญ

  • วัชพืช กำจัดด้วยแรงงานในขณะที่วัชพืชยังเล็กและก่อนออกดอกควรกำจัดวัชพืช 3 – 4 ครั้งต่อปี
  • โรค ส่วนมากพบโรคเที่ยวที่เกิดจากเชื้อรา ระบาดเมื่อความชื้นในดินสูงเข้าทำลายต้นกล้าที่มีแผลบริเวณโคนต้น หรือต้นหักพับที่ระดับผิวดินทำให้ต้นมีอาการเหี่ยวเฉาตาย การป้องกันกำจัดทำได้โดยปรับดิบดินด้วยปูนชาวและปุ๋ยอินทรีย์ถอนต้นที่เป็นโรคเผาทำลาย เมื่อเริ่มมีโรคระบาดในแปลงใช้น้ำปูนใสรดให้ทั่ว
  • แมลง ไม่พบแมลงชนิดใดทำความเสียหายรุนแรง
  • สัตว์ศัตรูพืช หนอน ทอยพาก และตุ่น เป็นศัตรูของกวาวเครือขาวในธรรมชาติ การป้องกันกำจัดทำได้โดยเก็บเศษใบพืชทำลาย เพื่อกำจัดหนอนและดักแด้ และติดกับดักกาวเหนียวสีเหลืองตลอดฤดูปลูกเพื่อการพยากรณ์ และลดปริมาณตัวเต็มวัย

การเก็บเกี่ยว

ขุดหัวกวาวเครือขาวด้วยความระมัดระวัง ไม่ให้ผิวเปลือกเกิดรอยแผลหรือซ้ำ ตัดแอกหัวออกจากเหง้าหรือลำดัน เก็บเกี่ยวทัวทิวาวเครือขาวที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 2 ก็โลกรัมขึ้นไป และมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ 15 – 25 เชนติเมตร

สรรพคุณของกวาวเครือขาว

กวาวเครือขาวนั้นเป็นสมุนไพรที่ได้รับความนิยมสำหรับเพศชาย เพราะให้สรรพคุณทางยาเด่นชัดในเรื่องของการช่วยเพิ่มและฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศ ผู้เชี่ยวชาญและนักวิจัยพบว่ากวาวเครือมีคุณสมบัติที่ช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศของผู้ชายได้จริง อีกทั้งยังได้ผลดีกว่าการใช้ยาไวอากร้าด้วยเช่นกัน โดยมีสรรพคุณดังนี้

  • เป็นยาอายุวัฒนะบำรุงร่างกายและบำรุงสมองสำหรับเพศชาย ทำให้อวัยวะเพศแข็งตัวได้ดีเช่นเดียวกับฤทธิ์ของซิลเดนาฟิล ซิเตรต ซึ่งช่วยป้องกันโรคต่อมลูกหมากโตและช่วยขยายหลอดเลือดในอวัยวะเพศ
  • ปรับฮอร์โมนเพศชายให้สมดุล ช่วยกระตุ้นการหมุนเวียนของเลือด บำรุงหลอดเลือด ทำให้ระบบเลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น รวมทั้งเร่งการผลิตน้ำอสุจิให้เร็วขึ้น
  • ป้องกันโรคมะเร็ง โดยเฉพาะโรคมะเร็งต่อมลูกหมากในผู้ชายวัยทอง
  • บำรุงรากผมและหนังศีรษะ ช่วยให้ผมไม่หงอกเร็วและทำให้ผมไม่หลุดร่วงง่าย
  • ช่วยชะลอความแก่ก่อนวัย ลดเลือนริ้วรอย ทำให้ผิวพรรณดีมีน้ำมีนวล เซลล์ต่างๆ เสื่อมช้าลง
  • ช่วยให้นอนหลับง่าย ทำให้รู้สึกสดชื่นไม่อ่อนเพลีย ขับถ่ายสะดวก
  • ลดอาการปวดเมื่อย เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง แก้ลมที่เป็นพิษ ดับพิษ ช่วยล้างลำไส้และสมานลำไส้

บทความที่น่าสนใจ

บ้านชั้นเดียวสไตล์มินิมอล ทรงตัว U ดีไซน์เรียบหรู ตกแต่งภายในพร้อมอยู่

บ้านชั้นเดียวสไตล์มินิมอล ทรงตัว U ดีไซน์เรียบหรู ตกแต่งภายในพร้อมอยู่

บ้านชั้นเดียวสไตล์มินิมอล

บ้านชั้นเดียวสไตล์มินิมอล กำลังเป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน เพราะให้ความรู้สึกเรียบง่าย แต่สวยงามลงตัว ใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่า และดูแลรักษาง่าย เหมาะกับทุกครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นคนวัยทำงาน เกษตรกร หรือผู้สูงอายุ โดยเฉพาะแบบบ้านที่ออกแบบเป็นทรงตัว U ซึ่งไม่เพียงดูแปลกตา แต่ยังช่วยให้ลมถ่ายเทสะดวก มีลานกลางบ้านสำหรับพักผ่อนหรือจัดสวนเล็ก ๆ ได้อีกด้วย

บ้านหลังนี้ออกแบบใน สไตล์มินิมอล ตกแต่งภายในพร้อมอยู่ ขนาด 4 ห้องนอน ที่เน้นความสะอาดตา โทนสีขาวตัดกับวัสดุไม้ ทำให้บรรยากาศดูอบอุ่นและเป็นธรรมชาติ ภายในจัดสรรพื้นที่ได้ลงตัว พร้อมอยู่ได้ทันที มีทั้งห้องนั่งเล่น ห้องครัว ห้องนอนครบครัน เหมาะกับคนที่ชอบความเรียบง่ายแต่ทันสมัย เป็นผลงานการออกแบบและก่อสร้างโดย รับสร้างบ้านและสวน เชียงราย จี พี โฮม บ้านสไตล์นี้ไม่ต้องตกแต่งเยอะก็สวยได้ในตัว และยังตอบโจทย์การใช้ชีวิตแบบพอเพียงได้เป็นอย่างดี ไปชมพร้อม ๆ กันเลยครับ

ผลงานการออกแบบ : รับสร้างบ้านและสวน เชียงราย จี พี โฮม

บ้านชั้นเดียวสไตล์มินิมอล

บ้านชั้นเดียวสไตล์มินิมอล

บ้านชั้นเดียวสไตล์มินิมอล

บ้านชั้นเดียวสไตล์มินิมอล

บ้านสไตล์มินิมอล

ภายในห้องโถงส่วนกลางของ บ้านสไตล์มินิมอล หลังนี้ถูกออกแบบให้โปร่งโล่งสบาย ด้วยการเลือกใช้โทนสีขาวครีมตัดกับพื้นไม้สีอ่อน ให้ความรู้สึกอบอุ่นและเป็นธรรมชาติ เฟอร์นิเจอร์เน้นความเรียบง่ายแต่ลงตัว โดยเฉพาะโซฟาสีน้ำเงินเข้มที่ดูโดดเด่น ช่วยเพิ่มมิติให้ห้องดูมีชีวิตชีวามากขึ้น

บ้านชั้นเดียวสไตล์มินิมอล

พื้นที่นั่งเล่น เชื่อมต่อกับส่วนรับประทานอาหารและห้องครัวแบบเปิดโล่ง ทำให้รู้สึกกว้างขวาง ไม่อึดอัด เหมาะกับการใช้ชีวิตร่วมกันของคนในครอบครัว ผนังด้านหนึ่งติดตั้งประตูกระจกบานเลื่อนขนาดใหญ่ เปิดรับแสงธรรมชาติและลมเย็นจากภายนอกได้เต็มที่ เพิ่มความปลอดโปร่งและประหยัดพลังงานในเวลากลางวัน

ห้องนี้เป็นหัวใจของบ้าน ที่รวมทั้งความเรียบง่าย อบอุ่น และการใช้งานที่ลงตัวไว้อย่างพอดี เหมาะทั้งกับครอบครัวเล็ก ๆ หรือผู้ที่ต้องการใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายสบาย ๆ ตามแบบฉบับ บ้านชั้นเดียวสไตล์มินิมอล อย่างแท้จริง

ห้องนอนในสไตล์มินิมอล เรียบง่ายแต่ดูอบอุ่น ด้วยโทนสีขาวสะอาดตาตัดกับผ้าม่านสีน้ำเงินเข้ม เสริมบรรยากาศให้รู้สึกสงบ เหมาะสำหรับการพักผ่อน เตียงไม้เตี้ยดีไซน์เรียบ เน้นการใช้งานจริง พื้นห้องปูด้วยไม้ลายธรรมชาติช่วยให้ห้องดูอบอุ่นขึ้น มีมุมนั่งเล่นริมหน้าต่างที่จัดไว้อย่างลงตัว รับแสงธรรมชาติได้เต็มที่ ทำให้ห้องโปร่งโล่ง สบายตาตลอดทั้งวัน เหมาะกับการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายแต่มีคุณภาพตามแบบฉบับบ้านสไตล์มินิมอล

แบบบ้านชั้นเดียวสไตล์มินิมอล ดีไซน์ตัว U ตกแต่งภายในพร้อมอยู่ ขนาด 4 ห้องนอน นั้น เป็นผลงานการออกแบบและก่อสร้างโดย รับสร้างบ้านและสวน เชียงราย จี พี โฮม ที่ออกแบบพื้นที่ใช้สอยได้อย่างลงตัวในงบประมาณที่คุ้มค่าคุ้มราคา ตามที่ลูกค้าต้องการ มุ่งเน้นการบริการด้วยคุณภาพและมาตรฐาน ออกแบบตามสไตล์ที่ลูกค้าต้องการและงบประมาณที่มี ครับ

สนใจสามารถติดต่อทีมงานได้ตามรายละเอียดด้านล่างเลยครับ

รับสร้างบ้านและสวน เชียงราย จี พี โฮม


หมายเหตุ : ทางเว็บ ไม่ได้มีการรับสร้างบ้าน เราลงให้ดูเพื่อเป็นไอเดียเท่านั้น หากสนใจแบบบ้านที่รีวิว สามารถติดต่อเจ้าของผลงานโดยตรงเองได้เลย ส่วนราคาก่อสร้าง ขึ้นอยู่กับสถานที่ พื้นที่ก่อสร้าง และ เกรดวัสดุ ซึ่งมีปรับขึ้น-ลงทุกปีครับ


บทความอื่นที่น่าสนใจ

บ้านน็อคดาวน์ทรงเอเฟรม ยกใต้ถุนสูง ดีไซน์ที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์

เสน่ห์ที่ไม่เหมือนใคร! สัมผัสประสบการณ์ใหม่กับ บ้านน็อคดาวน์ทรงเอเฟรม ยกใต้ถุนสูง ดีไซน์ที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์

บ้านน็อคดาวน์ทรงเอเฟรม

       ในยุคที่การสร้างบ้านไม่ได้จำกัดอยู่แค่รูปแบบเดิมๆ อีกต่อไป บ้านน็อคดาวน์ ได้กลายเป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่มองหาความสะดวก รวดเร็ว และความคุ้มค่า และหากคุณกำลังมองหา บ้านน็อคดาวน์ ที่ไม่เพียงแต่ตอบโจทย์ด้านฟังก์ชัน แต่ยังโดดเด่นด้วยดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ บ้านน็อคดาวน์ทรงเอเฟรม คือคำตอบที่สมบูรณ์แบบ ด้วยรูปทรงสามเหลี่ยมที่เป็นซิกเนเจอร์ มอบความรู้สึกโปร่งโล่ง อบอุ่น และเชื่อมโยงกับธรรมชาติได้อย่างลงตัว

ยิ่งไปกว่านั้น บ้านน็อคดาวน์ทรงเอเฟรม ที่ออกแบบให้ “ยกใต้ถุนสูง” ยังเพิ่มมิติให้กับการอยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นการช่วยระบายอากาศ ลดความร้อน ป้องกันปัญหาน้ำท่วมขัง หรือการเพิ่มพื้นที่ใช้สอยอเนกประสงค์ใต้ถุนบ้าน ทำให้ บ้านน็อคดาวน์ ประเภทนี้ไม่ได้มีเพียงความสวยงาม แต่ยังเปี่ยมไปด้วยประโยชน์ใช้สอยที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตยุคใหม่ได้อย่างแท้จริง พร้อมให้คุณเป็นเจ้าของบ้านดีไซน์สวยโดดเด่น ไม่ซ้ำใคร ได้ง่ายกว่าที่คิด

บ้านน็อคดาวน์ทรงเอเฟรม

วันนี้เรามีไอเดียบ้านน็อคดาวน์ทรงเอเฟรม ยกใต้ถุนสูง ภายในตกแต่งน่าอยู่ ดีไซน์สวยโดดเด่น ทันสมัยสวยงาม สำหรับบ้านหลังนี้ เป็น แบบบ้านน็อคดาวน์ทรงเอเฟรม พร้อมฟังก์ชั่น ขนาด 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1ระเบียงดาดฟ้า มาพร้อมกับ โครงสร้างเหล็ก จะสวยขนาดไหน ไปชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้กันได้เลยครับ

ผลงานและรูปภาพ : บ้านน็อคดาวน์ B&B Little House
เรียบเรียง : esanbanna.com

บ้านน็อคดาวน์ทรงเอเฟรม

บ้านน็อคดาวน์ทรงเอเฟรม

บ้านน็อคดาวน์จึงมีข้อดีหลายประการ เช่น

  • ใช้เวลาในการก่อสร้างที่รวดเร็ว โดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 1-3 เดือน ขึ้นอยู่กับขนาดและแบบบ้าน
  • ประหยัดค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง เนื่องจากใช้วัสดุและแรงงานน้อยกว่าบ้านทั่วไป
  • ยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนรูปแบบและขนาดได้ตามความต้องการ
  • สามารถเคลื่อนย้ายได้ เหมาะสำหรับพื้นที่ที่ต้องการใช้ชั่วคราวหรือพื้นที่ที่ไม่สามารถก่อสร้างบ้านถาวรได้

บ้านน็อคดาวน์ทรงเอเฟรม

บ้านน็อคดาวน์ทรงเอเฟรม

รายละเอียด บ้านน็อคดาวน์ B&B Little House

  • บ้านน็อคดาวน์ทรงเอเฟรมปกติวามสูงจะอยู่ที่ 1 เมตร หลังนี้ลูกค้าเพิ่มความสูงเป็น 2 เมตร , เพิ่มอ่างอาบน้ำ
  • ได้มาตรฐาน มีแบบ สามารถขอบ้านเลขที่ได้ด้วย
  • ตัวบ้านกว้าง 3 เมตร ยาว 6 เมตร พร้อมระเบียง ขนาด 4.20 × 2 , 2 × 1.20 บ้านสูง 1 เมตร ราคา 235,000 บาท ไม่รวมรากฐาน  (ส่งฟรี)
  • เพิ่มความสูงเป็น 2 เมตร ราคา 305,000 บาท รวมรากฐาน(ส่งฟรี)
  • ถ้ารับเฉพาะตัวบ้าน สูง 50 ซ.ม. ราคา 185,000 บาท ไม่รวมรากฐาน(ส่งฟรี)
  • ถ้าลูกค้าต้องการอ่างอาบน้ำ เพิ่มอีก15,000 บาท

เป็นอย่างไรกันบ้างครับสำหรับตัวบ้านหลังเล็กๆแบบบ้านน็อคดาวน์ทรงเอเฟรม พร้อมฟังก์ชั่น การใช้งานที่ทันสมัยสวยงามลงตัว ที่เรานำมาให้ท่านชมกันในวันนี้ ก็หวังว่าจะถูกใจผู้ที่เข้ามาติดตามรับชมกันนะครับ หากท่านใดที่สนใจหรือชื่นชอบก็สามารถติดต่อสอบถามได้ที่โดยตรง

ที่มา | บ้านน็อคดาวน์ B&B Little House
ติดต่อโทร : 096-1490026


หมายเหตุ: ทางเว็บไม่ได้มีการรับสร้างบ้าน เราลงให้ดูเพื่อเป็นไอเดียเท่านั้น หากสนใจแบบบ้านที่รีวิว สามารถติดต่อเจ้าของผลงานโดยตรงเองได้เลย ส่วนราคาก่อสร้าง ขึ้นอยู่กับสถานที่ พื้นที่ก่อสร้าง และ เกรดวัสดุ ซึ่งมีปรับขึ้น-ลงทุกปีครับ


บทความอื่นที่น่าสนใจ

7 โรคยอดฮิตที่มากับหน้าร้อน ที่ไม่ควรมองข้าม

7 โรคยอดฮิตที่มากับหน้าร้อน ที่ไม่ควรมองข้าม

โรคยอดฮิตที่มากับหน้าร้อน

         เมื่อฤดูร้อนมาเยือน นอกจากแสงแดดจ้าและอุณหภูมิที่พุ่งสูงขึ้นแล้ว ยังมาพร้อมกับภัยเงียบที่หลายคนอาจมองข้าม นั่นก็คือ “โรคหน้าร้อน” ซึ่งมักระบาดหนักในช่วงอากาศร้อนอบอ้าว โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหารและภาวะร่างกายขาดน้ำ เช่น โรคลมแดด (Heat Stroke) ที่เกิดจากการอยู่กลางแดดเป็นเวลานานจนอุณหภูมิร่างกายสูงเกินควบคุม หรือ อาหารเป็นพิษ และ อหิวาตกโรค ที่มากับการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ไม่สะอาด นอกจากนี้ยังมี โรคบิด และ อาการท้องเสีย ที่ส่งผลให้ร่างกายอ่อนเพลีย สูญเสียน้ำอย่างรวดเร็ว และไม่ควรละเลย โรคพิษสุนัขบ้า ที่มักพบมากขึ้นในช่วงหน้าร้อนจากสัตว์เลี้ยงหรือสัตว์จรจัดที่มีพฤติกรรมดุร้ายผิดปกติ เพราะอากาศร้อนมีผลต่อพฤติกรรมสัตว์ด้วย บทความนี้จะพาคุณไปรู้จัก 7 โรคยอดฮิตที่มากับหน้าร้อน พร้อมวิธีป้องกันง่ายๆ ที่ทุกคนควรทราบไว้ เพื่อสุขภาพที่ดีของทั้งตัวเองและคนที่คุณรัก

1.โรคพิษสุนัขบ้า

โรคพิษสุนัขบ้า เป็นโรคที่พบในสัตว์เป็นส่วนใหญ่ เกิดจากการติดเชื้อไวรัส โรคสามารถแพร่จากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น สุนัข แมว ไปสู่คนได้จากการถูกสัตว์ที่ติดเชื้อไวรัสกัดหรือข่วน หลังได้รับเชื้อมักไม่ปรากฏอาการใดๆ โดยอาการมักเกิดหลังจากถูกกัดประมาณ 7 วันหรือเป็นเดือน เชื้อไวรัสจะจู่โจมประสาทส่วนกลางทำให้เกิดโรคทางระบบประสาท และในหลายกรณีทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ การติดเชื้อแพร่ผ่านทางน้ำลายเข้าสู่บาดแผล ปากหรือดวงตา มักเกิดจากการถูกสัตว์กัด ซึ่งสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดสามารถติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าได้

ควรทำอย่างไรหากถูกสัตว์กัด

หากถูกสัตว์จรจัดกัด ให้ทำความสะอาดบาดแผลทันทีด้วยน้ำและสบู่เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อหลังจากนั้นให้ไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด แพทย์ที่มีประสบการณ์จะบอกได้ว่าผู้ที่ถูกกัดจำเป็นต้องได้รับวัควัคชีนปัองกันโรคพิษสุนัขบ้าหรือที่เรียกว่ายาป้องกันหลังสัมผัสสัตว์ (post-exposure prophylaxis; PEP) หรือไม่ โดยวินิจฉัยจาก

  • สัตว์ที่กัดมีความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรคพิษสุนัขบ้าหรือไม่
  • แผลมีความรุนแรงมากพอต่อการได้รับวัคชีน
  • การรักษาจำเป็นต้องใช้อิมมูโนโกลบูลิน (ซึ่งหายากในบางครั้ง) ร่วมกับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าหรือไม่ (ในกรณีส่วนใหญ่จำเป็นต้องใช้วิธีการรักษาทั้งสองประเภทร่วมกันเพื่อให้มั่นใจถึงประสิทธิภาพในการป้องกันโรค)

2. โรคลมแดด

      โรคลมแดด หรือ ฮีทสโตรก (Heat Stroke) โรคที่ใหม่ในยุคปัจจุบันแต่อาจคร่าชีวิตของคุณ และคนใกล้เคียงได้ โรคลมแดด คือภาวะที่อุณหภูมิในร่างกายสูงเกิน 40.5.องศาเซลเซียส เกิดจากการที่อยู่ในสถานที่ที่อุณหภูมิร้อนมากๆ และร่างกายไม่สามารถปรับตัวลดอุณหภูมิให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้ ส่งผลเสียต่อระบบประสาทหัวใจ และไต เป็นเหตุให้เสียชีวิตได้

     สาเหตุของโรคลมแดด นั้นมาจากการอยู่ในสถานที่ที่อากาศร้อนจัด โดยเฉพาะขณะที่อากาศร้อนชื้น หรือการออกกำลังกายอย่างหนัก โดยเฉพาะเมื่ออออกกำลังกายในสถานที่ที่อากาศร้อน อาจมีปัจจัยเสียงอื่นๆ ที่กระตุ้นให้เป็นโรคลมแดดได้ง่ายขึ้น เช่น การสวมใส่เสื้อผ้าที่หนาเกินไปจะทำให้เหงื่อระบายได้ยาก การดื่มแอลกอฮอล์ ร่างกายอยู่ในภาวะขาดน้ำ ทานน้ำน้อย เป็นต้น

     กลุ่มคนที่มีโอกาศเป็นโรคลมแดดได้มากกว่าผู้อื่นอาทิ เด็กเล็ก และผู้สูงอายุ (อายุเกิน 65 ปี) มีการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงได้ช้า และเสียงต่อภาวะขาดน้ำได้ง่าย, ทหารที่ต้องฝึกหนัก หรือ นักกีฬาที่ต้องเล่นกีฬาในที่ที่อุณหภูมิร้อนจัด, ผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับอากาศร้อน เช่น ต้องเดินทางไปประเทศที่อุณหภูมิอากาศร้อนกว่า หรือเจอมรสุมพายุฤดูร้อน, ผู้ที่ทานยาบางชนิด ได้แก่ ยาลดความดันโลหิตบางประเภท ยาขับปัสสาวะ ยารักษาโรคจิตเวชยาแก้แพ้ ยาลดน้ำมูก ยาระบาย ยาบ้า โคเคน และผู้ที่มีโรคหัวใจ โรคปอด โรคอ้วน หรือเคยเป็นโรคลมแดดมาก่อน

    อาการของโรคลมแดดที่คุณอาจสังเกต หรือตรวจเช็คได้ง่ายๆ เช่น อุณหภูมิร่างกายสูงเกิน 40.5 องศาเซลเชียส มีอาการผิดปกติทางระบบประสาท ได้แก่ ลุกลี้ลุกลน พูดข้า สับสน ชัก เพ้อ หมดสติ ต่อมเหงื่อทำงานผิดปกติไป เช่น อยู่ในสถานที่ร้อนจัด แต่ไม่มีเหงื่อออก คลื่นไส้ อาเจียน ผิวหนังและหน้าเปลี่ยนเป็นสื่ออกแดงเหนื่อย หายใจเร็ว ใจสัน ชีพจรเต้นเร็วผิดปกติ ปวดศีรษะ หรือไตวาย ปัสสาวะสีเข้มผิดปกติ เอนไซม์ในกล้ามเนื้อสงผิดปกติ

3.อาหารเป็นพิษ

อาหารเป็นพิษ ภาวะที่เกิดจากรับประทานอาหาร หรือนำที่มีการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียเข้าไป ทำให้มีอาการดลืนไส้อาเจียน ปวดท้องและท้องเสียถ่ายเหลวตามมาอาการแบบนี้สงสัย “อาหารเป็นพิษ”

  • มีไข้ ปวดศีรษะ
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • ปวดท้อง
  • ถ่ายอุจจาระบ่อย เกินวันละ 3 ครั้ง
  • ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว
  • มีอาการสูญเสียน้ำ เช่น เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย กระหายน้ำ

4.อหิวาตกโรค (Cholera)

ลักษณะโรค เป็นโรคติดเชื้อระบบทางเดินอาหารจากแบคทีเรียชนิดเฉียบพลัน เริ่มด้วยอาการถ่ายอจจาระเป็นน้ำอย่างมากโดยไม่มีอาการปวดท้อง บางรายอุจจจาระชาวขุ่นเหมือนน้ำชาวข้าว บางครั้งมีคลื่นไส้ อาเจียน สูญเสียน้ำอย่างรวดเร็วจนเกิดภาวะเป็นกรดในเลือด และการไหลเวียนโลหิตล้มเหลว สำหรับเชื่อโรคอจจาระร่วงอย่างแรง (อหิวาตกโรค) ชนิด El Tor biotype ผู้ป่วยอาจไม่มีอาการเลยก็ได้ ในรายรุนแรงน้อยอาจพบแต่อาการถ่ายเป็นน้ำ พบได้บ่อยในเด็ก ในรายที่มีอาการรุนแรงและไม่ได้รับการรักษาผู้ป่วยอาจตายในเวลา 2-3 ชั่วโมง และอัตราป่วยตายสูงมากกว่าร้อยละ 50 แต่ถ้าได้รับการรักษาถูกต้องและทันท่วงที อัตราป่วยตายจะลดลงเหลือต่ำกว่าร้อยละ 1

5. โรคบิด (Dysentery)

โรคบิดคือโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือการติดเชื้ออะมีบาในลำไส้ซึ่งก่อให้เกิดอาการท้องเสียชนิดมีเลือดหรือมูกปน การแพร่กระจายของโรคบิดมักเกิดจากสุขอนามัยที่ไม่ดีโดยผู้ป่วยมักได้รับเชื้อ จากการรับประทานอาหารที่มีการปนเปื้อน โรคบิดมีอาการที่พบทั่วไป

  • ท้องเสียโดยมีเลือดหรือมูกร่วมด้วย
  • ช่องท้องบีบเกร็ง จนทนไม่ได้
  • รู้สึกคลื่นไส้
  • อาเจียน
  • ปวดท้องบิด
  • มีไข้สูง

โรคบิดเกิดจากอะไร โรคบิดเกิดจากการมีสุขอนามัยที่ไม่ดีและรับประทานอาหารปนเปื้อน โดยทางการแพทย์ได้ จำแนกโรคบิดไว้ 2 ชนิดคือ

  • โรคบิดชนิดไม่มีตัว (shigellosis) เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย shigella ในอุจจาระซึ่งมักพบในประเทศที่มีสุขอนามัยไม่ดี
  • โรคบิดที่เกิดจากอะมีบา (amoebiasis) เกิดจากปรสิตเซลล์เดียวที่มีชื่อว่า Entamoeba histolyticaทีมักพบในเขตร้อน ส่วนใหญ่ผู้ป่วยที่เผชิญกับโรคบิดที่เกิดจากอะมีบามักมีอาการรุนแรงมากกว่าผู้ป่วยโรคบิดชนิดไม่มีตัว

6.ไข้รากสาดน้อย

       ไข้รากสาดน้อย หรือ ไข้ไทฟอยด์ (Typhoid fever; Enteric fever) เป็นการเจ็บป่วยที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Salmonella enterica serovar Typhi Wu ได้ทัวโลกโดยติดต่อผ่านทางการรับประทานอาหาร หรือน้ำดื่มที่ปนเปื้อนอจจาระของผู้ป่วยโดยเชื่อแบคทีเรียก่อโรคนี้จะเจาะทะลุผนังลำไส้แล้วถูกจับกินโดยเซลล์แม่โครฟาจ (macrophage) จากนั้นเชื้อ Salmonella typhi จะเปลี่ยนโครงสร้างตัวเองเพื่อดื้อต่อการทำลายและสามารถหลบหนีออกจากแม่โครฟาจได้ กลไกดังกล่าวทำให้เชื้อดื้อดื้อต่อการทำลายโดยแกรนโลไซต์ ระบบบคอมพลีเมนต์ และระบบภูมิคุ้มกัน จากนั้นเชื้อก่อโรคจะกระจายไปทั่วร่างกายผ่านทางน้ำเหลืองขณะที่อยู่ในเซลล์แม่โครฟาจ ทำให้เชื้อเข้าสู่ระบบเรติคูโลเอนโดทีเลียม (reticuloendothelial systern) และไปยังอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย

7.ท้องเสีย

ท้องเสีย หรืออุจจาระร่วง คืออาการถ่ายอุจจาระเหลว หรือถ่ายเป็นน้ำตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไปภายใน 24 ชม. โดยทั่วไปอาการท้องเสียมักเกิดขึ้น และอาจหายไปได้เองภายใน 2-3 วัน หรือด้วยการทานยาสามัญประจำบ้าน

ท้องเสีย คืออะไร

ท้องเสีย หรืออุจจาระร่วง (Diarthea) คืออาการถ่ายอุจจาระเหลว หรือถ่ายเป็นน้ำตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป ภายใน 24 ชม. โดยทั่วไปอาการท้องเสียมักเกิดขึ้น และอาจหายไปได้เองภายใน 2-3 วัน หรือด้วยการทานยาสามัญประจำบ้าน เช่น ยาผงถ่านคาร์บอน โดยอาการท้องเสียหรืออุจจาระร่วง มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียไวรัส หรือพยาธิ ในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งในกรณีที่มีอาการรุนแรงอาจทำให้ร่างกายขาดสารน้ำจนอาจมีอันตรายถึงชีวิตได้ ถ้ามีอาการท้องเสียที่มีมูกเลือดปน ตั้งแต่ ๑ ครั้งขึ้นไป ควรรีบพบแพทย์

รู้เท่าทัน ป้องกันโรคได้

จะเห็นได้ว่า โรคที่มากับหน้าร้อนส่วนใหญ่ มักเป็นโรคติดต่อที่เกิดจากการกินอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรค ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงและลดเสี่ยงโรคต่างๆ ในหน้าร้อน เราจึงควรทำดังนี้

  • เลือกกินอาหารที่ปรุงสุก สะอาด ไม่บูด หรือไม่นำวัตถุดิบที่เริ่มเสียมาปรุงอาหาร
  • งดเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
  • ล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง ทั้งก่อนและหลังมื้ออาหาร รวมถึงหลังใช้ห้องน้ำ
  • ดื่มน้ำที่สะอาด เช่น น้ำดื่มบรรจุขวดที่มีเครื่องหมาย อย. หรือน้ำต้มสุก
  • ดื่มน้ำให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว โดยจิบบ่อยๆ ทั้งวัน
  • หมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ

บทความที่น่าสนใจ

การเพาะเห็ดฟางในโรงเรือน สำหรับมือใหม่ วิธีทำแบบละเอียด

การเพาะเห็ดฟางในโรงเรือน สำหรับมือใหม่ วิธีทำแบบละเอียด

การเพาะเห็ดฟางในโรงเรือน

การเพาะเห็ดฟางในโรงเรือน กำลังกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกยอดนิยมของเกษตรกรยุคใหม่ที่ต้องการสร้างรายได้อย่างมั่นคงและต่อเนื่อง เห็ดฟางถือเป็นเห็ดเศรษฐกิจที่มีความต้องการในตลาดสูง ด้วยรสชาติอร่อย กลิ่นหอม และสามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู ทำให้การเพาะเห็ดฟางกลายเป็นกิจกรรมที่หลายคนให้ความสนใจ โดยเฉพาะในรูปแบบของ “การเพาะเห็ดฟางในโรงเรือน” ซึ่งเป็นวิธีที่สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมได้ดี มีความสะดวกในการดูแลรักษา ช่วยลดความเสี่ยงจากสภาพอากาศที่ไม่แน่นอน และเพิ่มโอกาสในการเก็บผลผลิตได้อย่างสม่ำเสมอ

การเพาะเห็ดฟางแบบโรงเรือนยังเหมาะกับทั้งเกษตรกรที่มีพื้นที่จำกัด และผู้ที่เริ่มต้นจากศูนย์ เพราะสามารถออกแบบให้เหมาะสมกับขนาดพื้นที่และงบประมาณได้ อีกทั้งยังสามารถจัดการระบบการให้น้ำ อากาศ ความชื้น และแสงสว่างได้อย่างเหมาะสม ทำให้เห็ดฟางเจริญเติบโตได้ดี ให้ผลผลิตสูง และลดความเสี่ยงจากเชื้อโรคหรือศัตรูพืช เมื่อเทียบกับการเพาะเห็ดฟางแบบกองเตี้ยในที่โล่งแล้ว การเพาะเห็ดฟางในโรงเรือนมีความได้เปรียบทั้งในเรื่องของคุณภาพและปริมาณของผลผลิต

บทความนี้จะพาผู้อ่านไปทำความเข้าใจขั้นตอนต่างๆ ในการเพาะเห็ดฟางในโรงเรือน ตั้งแต่การเลือกสถานที่ วัสดุเพาะ การดูแลรักษา ไปจนถึงการเก็บเกี่ยวผลผลิต โดยเน้นเนื้อหาให้เข้าใจง่าย เหมาะกับทั้งผู้เริ่มต้นและผู้ที่ต้องการพัฒนาเทคนิคการเพาะเห็ดฟางให้ได้ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ใครที่กำลังมองหาแนวทางสร้างอาชีพหรือรายได้เสริม การเพาะเห็ดฟางในโรงเรือนอาจเป็นคำตอบที่คุณตามหาอยู่ก็เป็นได้

1.โรงเรือน

โรงเรือนเพาะเห็ดฟางควรเป็นโรงเรือนที่ปิดมิดชิด สร้างด้วยอิฐบล็อกหรือไม้ไม่ ขนาดโรงเรือน 6 x 8 x 2.5 เมตร มีประตู ปิด-เปิด 2 ด้าน หน้าต่างแบบ ปิด-เปิด เพื่อระบายความร้อนและอากาศเสีย พื้นโรงเรือนควรเทปูนหรือคอนกรีต เพื่อสะดวกในการทำความสะอาด ชั้นเพาะเห็ดมี 4 แถว ๆ ละ 4 ชั้น ๆ ละ 5 ตารางเมตร ขึ้นอยู่กับความยาวและกว้างของแต่ละโรงเรือน แต่ละชั้นห่างกันประมาณ 50 เซนติเมตร

การเพาะเห็ดฟางในโรงเรือน

พื้นชั้นปูด้วยไม้รวกหรือตะแกรงโลหะหรือตะแกรงพลาสติก มีเครื่องกำเนิดไอน้ำที่มีขนาดใหญ่พอที่จะให้ความร้อนภายในโรงเรือนที่อุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 2 ชั่วโมง ติดต่อกัน และอุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส อีกอย่างน้อย 8 ชั่วโมง ติดต่อกัน ในโรงเรือนควรมีเทอร์โมมิเตอร์ ที่สามารถวัดอุณหภูมิ ความร้อนระหว่าง 1-100 องศาเซลเซียส พัดลมเป้าดูดและระระบายอากาศ สำหรับระบายอากาศเสีย ในโรงเรือน

ลักษณะโรงเรือน 2 แบบ

  • โรงเรือนแบบที่ใช้ไม้ไผ่และแฝกเป็นส่วนประกอบหลัก
  • โรงเรือนอิฐบล็อก

ข้อแตกต่างของลักษณะโรงเรือนของทั้ง 2 แบบ

  • แบบที่ใช้ไม้ไผ่และแฝกเป็นส่วนประกอบหลัก : ควบคุมอุณหภูมิได้ยากกว่า ไม่ค่อยมั่นคงแข็งแรง แต่ราคาถูก ซึ่งลักษณะโรงเรือนจะเน้นใช้วัสดุที่หาง่ายในท้องถิ่น (ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรตำบลเจริญธรรมและตำบลคลองเรือ)
  • แบบที่ใช้อิฐบล็อก : สามารถควบคุมอุณหภูมิได้ดีกว่าและมั่นคงแข็งแรง แต่ราคาสูง เป็นการประยุกต์ใช้วัสดุในการปลูกสร้างที่แข็งแรง ทนทาน แต่ยังคงรูปแบบโรงเรือนเดิมไว้ (ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรตำบลหนองหมู)

2. การเตรียมวัสดุเพาะ

การเตรียมวัสดุเพาะ สำหรับการเพาะเห็ดฟางโรงเรือนขนาด 6x8x2.5 เมตร จำนวน 2 โรง แต่ละโรงเรือนมี 4 แถว ๆ ละ 4 ชั้น ๆ ละ 5 ตารางเมตร จำนวน 32 ชั้น จะต้องเตรียมวัสดุ ดังนี้

  • ขี้ฝ้าย      30     กิโลกรัม
  • ขี้เลื่อย    350   กิโลกรัม
  • กากมันสำปะหลัง    400   กิโลกรัม
  • ชี้ฝ้าย-ขี้เลือยะกากมันสำปะหลัง อัตราส่วน 18:100:100  กิโลกรัม
  • กากถั่วเขียว  140  กิโลกรัม
  • ฟางสับ  40  กิโลกรัม
  • ตอซังข้าว  160  กิโลกรัม
  • ยูเรีย    4   กิโลกรัม
  • ยิบซั่ม   4   กิโลกรัม
  • ปูนหอย  4   กิโลกรัม
  • ปูนขาว  2   กิโลกรัม
  • รำ   40   กิโลกรัม
  • ข้าวโพด   8   กิโลกรัม
  • แป้งข้าวเหนียว   4   กิโลกรัม
  • อาหารเสริม   8   กิโลกรัม
  • เชื้อเห็ด  120  ก้อน

การเพาะเห็ดฟางในโรงเรือน

3. ขั้นตอนการเพาะเห็ดในโรงเรือน

3.1  นำวัสดุเพาะทั้ง 4 ชนิด เป็นวัสดุหลัก 4 กองมาผสมกับอาหารเสริมและวัสดุอื่นๆ คลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วหมัก 3 วัน จึงนำไปใช้ได้

  • กองที่ 1 ขี้ฝ้าย 30 กิโลกรัม ผสมกับอาหารเสริมและวัสดุอื่นๆ ดังนี้
    • กากถั่วเขียว  จำนวน  35  กิโลกรัม
    • ฟางสับ  จำนวน  10  กิโลกรัม
    • ข้าวโพดบด  จำนวน   2  กิโลกรัม
    • รำละเอียด  จำนวน  10  กิโลกรัม
    • ยิบซั่ม  จำนวน  1  กิโลกรัม
    • ยูเรีย  จำนวน  1  กิโลกรัม
    • ปูนหอย  จำนวน  1  กิโลกรัม
    • แป้งข้าวเหนียว   จำนวน  1  กิโลกรัม
    • ปูนขาว จำนวน  1-2  กิโลกรัม
    • อาหารเสริม จำนวน 2 กิโลกรัม
  • กองที่ 2  ขี้เลื่อย 350 กิโลกรัมผสมกับอาหารเสริมและวัสดุอื่นๆเหมือนกองที่ 1 (ข้อ 1 -10)
  • กองที่ 3  กากมันสำปะหลัง 400 กิโลกรัมกับอาหารเสริมและวัสดุอื่นๆ เหมือนกองที่ 1(ข้อ 1 -10)
  • กองที่ 4  นำขี่ฝ้าย+ขี้เลือย+กากมันสำปะหลัง อัตราส่วน 18:100:100 กิโลกรัม ผสมกับอาหารเสริมและวัสดุอื่นๆ เหมือนกองที่ 1 (ข้อ 1 – 10)

3.2 วันที่ 2 นำตอชังข้าวที่ใช้เป็นวัสดุรองพื้นขึ้นปูบนชั้นเพาะเห็ด หนาประมาณ 4 – 5 นิ้ว รดน้ำให้ชุ่ม รดน้ำวันละ 2 ครั้ง เช้า -เย็น เป็นเวลา 2 วัน

3.3 วันที่ 4 นำวัสดเพาะที่หมักแล้ว 3 วัน ทั้ง 4 กอง ขึ้นวางบนชั้นเพาะที่ปู่ตอซังข้าวไว้เรียบร้อย แล้ว ให้ใส่วัสดุหนาประมาณ 3 – 4 นิ้ว เกลี่ยวัสดุเพาะให้กระจายให้ทั่ว ถึงชั้นเพาะปิดโรงเรือนไว้ 1 วัน

3.4 วันที่ 5 อบไอน้ำเพื่อฆ่าเชื้อในโรงเรือน ที่คุณหภูมิ 65 – 70 องศาเซลเซียส นาน 6 ชั่วโมง ปิดโรงเรือนไว้ 1 คืนเพื่อให้อุณหภูมิในโรงเรือนเข็นลงเหลือประมาณ 35 องศาเซลเซียส

3.5 วันที่ 6 โรยเชื้อเห็ดบนวัสดุเพาะให้กระจายอย่างสม่ำเสมอทั่วทั้งชั้น ที่อุณหภูมิในโรงเรือน 35 องศาเซลเซียส แล้วปิดโรงเรือนทันที

3.6 วันที่ 7-15 ปิดโรงเรือนไว้ตลอด ควบคุมอุณหภูมิในโรงเรือนไม่ให้เกิน 36 องศาเซลเซียส (อุณหภูมิที่เหมาะสมในโรงเรือนไม่ให้เกิน 32 – 36 องศาเซลเซียส) ถ้าอุณหภูมิสูงให้เปิดช่องระบายอากาศออก และให้ใช้วิธีเปิดปิดประตูเร็วๆ 4 – 5 ครั้ง ไปพร้อมกันจะช่วยให้อากาศถ่ายเทได้ดีขึ้น ถ้าตอซังข้าวที่เป็นวัสดุรองพื้นแห้ง ให้รดน้ำโดยการฉีดพ่นฝ่อยเบาๆ แล้วปิดประตูโรงเรือน

3.7 วันที่ 16 เริ่มเก็บผลผลิต เก็บได้นาน 3 วัน ติดต่อกัน หยุด 3 วัน ก็จะเก็บรุ่นที่ 2 ได้อีก 3 วัน ติดต่อกัน

การใช้เตาอบเพื่อให้ความชื้นและปรับอุณหภูมิในโรงเรือนเห็ดฟาง

โดยปกติเกษตรกรทั่วไปมักใช้เศษยางรถยนต์ มาเป็นเชื่อเพลิงในการต้มน้ำเพื่อให้ความชื้นและปรับอุณหภูมิในโรงเรือน แต่เกษตรกรในเขตตำบลหนองหมู มีการใช้เตาที่มีการประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ ซึ่งสามารถควบคุมอุณหภูมิได้ดี ประหยัดเชื่อเพลิง อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และเตาอบดังกล่าวยังสามารถเคลื่อนที่ไปใช้ในที่อื่นๆ ได้

ด้านการป้องกันศัตรูของเห็ดในโรงเรือน

  • การใช้น้ำประปาซึ่งมีส่วนผสมของคลอรีน ราดบนพื้นเพื่อเป็นการฆ่าเชื้อโรค
  • การใช้น้ำหมักชีวภาพสูตรต่างๆ เช่น สูตรของเห็ดที่เหลือจากการตัดแต่ง เป็นต้น ราดพื้นฆ่าเชื้อราที่เป็นโทษต่อเห็ดฟาง

ขั้นตอน ส่วนผสมในการทำปุ๋ยอินทรีย์น้ำ

  • เศษวัสดุเห็ดฟางจากการตัดแต่งเห็ด 30 กิโลกรัม
  • กากน้ำตาล 10 กิโลกรัม
  • สารเร่ง พด.2 25 กรัม (1 ซอง)
  • น้ำ 10 ลิตร
  • ถังหมัก ขนาด 120 ลิตร

วิธีการทำปุ๋ยอินทรีย์น้ำ

  • นำเศษวัสดุเหลือใช้เศษเห็ดฟาง คลุกเคล้ากับกากน้ำตาลให้เข้ากัน ละลายสารเร่ง พูด.2 ในน้ำ 10 ลิตร คนให้เข้ากันนาน 5 นาที
  • นำเศษวัสดุเหลือใช้จากเศษเห็ดฟาง ที่คลุกเคล้ากับกากนำตาลเทลงในถังหมักน้ำ 10 ลิตร ที่ละลายสารเร่ง พูด.2 ไว้แล้วคนให้เข้ากันนาน 10 นาที ปิดฝาไม่ต้องสนิททิ้งไว้ 7 วัน สามารถนำมาใช้ประโยชน์กับพืชได้

การพิจารณาปุ๋ยอินทรีย์น้ำที่ใช้ได้แล้ว

  1. สี มีลักษณะเป็นสีน้ำตาล
  2. ลักษณะวัสดุ มีลักษณะการย่อยสลายตามระยะเวลาที่หมัก
  3. กลิ่น มีกลิ่นเปรี้ยวออกน้ำตาล

ประโยชน์ของปุ๊ขอินทรีย์น้ำโดยการใช้สารเร่ง พด.2

  • ช่วยกำจัดเชื้อรา และกลิ่นภายในโรงเรือนเพาะเห็ดฟาง
  • ช่วยเพิ่มผลผลิตทำให้เห็ดฟางเจริญเติบโตเร็วขึ้นมีขนาดใหญ่ น้ำหนักเพิ่มและดอกเห็ดบานช้าลง

วิธีการใช้

  • ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ ปริมาณ 5 ซีซี  (1 ช้อนแกง) ผสมน้ำ 10 ลิตร รดพื้นโรงเรียนเพาะเห็ดฟางหลังจากโรยเชื้อเห็ดฟางเสร็จเรียบร้อยแล้ว
  • ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ ปริมาณ 5 ซีซี  (1 ช้อนแกง) ผสมน้ำ 10 ลิตร ฉีดพ่นระหว่างชั้นภายในโรงเรียนเพาะเห็ดฟาง หลังจากเก็บเห็ดฟางวันแรก

3. การใช้ไอน้ำร้อนหรือน้ำที่มีการเดือดให้กระฉอกออก ให้เปียกพื้นโรงเรือนเพื่อฆ่าเชื้อโรคโดยใส่น้ำให้เกือบเต็มถัง

ผลผลิตที่ได้

นำเห็ดฟางที่เก็บได้จากวัสดุเพาะที่ต่างชนิดกัน นำมาตกแต่งทำความสะอาอาด แล้วชั่งน้ำหนัก ซึ่งวัสดุเพาะแต่ละชนิดให้ผลผลิต ดังนี้

  • ขี้ฝ้ายให้ผลผลิต 66 กิโลกรัม ต่อพื้นที่ 40 ตารางเมตร
  • ขี่ฝ้าย+ขี้เลื่อย+กากมันสำปะหลัง ให้ผลผลิต 60 กิโลกรัมต่อพื้นที่ 40 ตารางเมตร
  • กากมันสำปะหลัง ให้ผลผลิต 58.7 กิโลกรัมต่อพื้นที่ 40 ตารางเมตร
  • ขี้เลื่อย ให้ผลผลิต 53 กิโลกรัมต่อพื้นที่ 40 ตารางเมตร

การใช้ประโยชน์จากวัสดุที่เหลือใช้การเพาะเห็ดฟาง

การนำเศษเหลือจากการตัดแต่งเห็ดฟาง มาทำเป็นน้ำหมักชีวภาพและนำเศษฟางที่ใช้ เพาะเห็ดฟางแล้ว มาทำปุ๋ยหมักชีวภาพ


บทความอื่นที่น่าสนใจ

บ้านสไตล์นอร์ดิก เรียบง่ายแต่ดูดี มีเสน่ห์ทุกมุม

บ้านสไตล์นอร์ดิก เรียบง่ายแต่ดูดี มีเสน่ห์ทุกมุม

บ้านสไตล์นอร์ดิก
หากพูดถึงบ้านที่เรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยความอบอุ่นและมีสไตล์ “บ้านสไตล์นอร์ดิก” คงเป็นคำที่หลายคนนึกถึงเป็นอันดับต้น ๆ ด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งรูปทรงหลังคาจั่วสูง สีโทนอ่อน เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้นแต่ฟังก์ชันครบ ทำให้บ้านแบบนี้กลายเป็นที่นิยมในหมู่คนรักความเรียบง่ายและการใช้ชีวิตที่ไม่ซับซ้อน ไม่ว่าจะเป็นคนโสด คู่รัก หรือครอบครัวก็สามารถดัดแปลงบ้านสไตล์นี้ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของตัวเองได้อย่างลงตัว

ในยุคนี้ บ้านสไตล์นอร์ดิกสมัยใหม่ ยังถูกพัฒนาให้ตอบโจทย์สภาพอากาศและการใช้ชีวิตของคนไทยมากขึ้น ทั้งเรื่องการระบายอากาศ พื้นที่ใช้สอย และวัสดุที่เหมาะกับบ้านเรา ช่วยให้ความงามแบบยุโรปเหนืออยู่ร่วมกับความเป็นไทยได้อย่างน่าทึ่ง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมใครหลายคนถึงตกหลุมรักบ้านสไตล์นี้ตั้งแต่แรกเห็น

บ้านสไตล์นอร์ดิก

แบบบ้านชั้นเดียวสไตล์นอร์ดิก (Nordics) ขนาด 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว 1 ห้องรับแขก 1 ห้องโถง 2 ที่จอดรถ พื้นที่ใช้สอยรวมโรงรถ 138 ตรม ราคาก่อสร้าง 1.55 ล้านบาท ที่สร้างเสร็จส่งมอบให้ลูกค้า ผลงานสวยๆจากทาง โครงการบ้าน นายช่าง ต่อ รับเหมาก่อสร้าง บ้านเดี่ยว

ผลงานและรูปภาพ : โครงการบ้าน นายช่าง ต่อ รับเหมาก่อสร้าง บ้านเดี่ยว

บ้านสไตล์นอร์ดิก

บ้านสไตล์นอร์ดิก

บ้านสไตล์นอร์ดิก

ภายในห้องนอนตกแต่งแบบเรียบง่ายทันสมัย มาพร้อมกับที่นอนขนาดใหญ่ และ เครื่องอำนวยความสะดวก เช่น แอร์ ดูโล่งโปร่งสบายตา พร้อมกับผนังที่ทาด้วยสีขาวตัดกับกระเบื้องพื้นลายไม้สีน้ำตาลได้อย่างลงตัว

ห้องน้ำสไตล์โมเดิร์นที่ออกแบบอย่างเรียบหรู โดยเลือกใช้โทนสีดำเป็นหลัก ผสมผสานกับผนังลายหินธรรมชาติบริเวณโซนอาบน้ำ เพิ่มความรู้สึกอบอุ่นและมีมิติ ภายในห้องน้ำติดตั้งฝักบัวแบบเรนชาวเวอร์ พร้อมฝักบัวสายอ่อน ช่วยให้การใช้งานสะดวกสบาย พื้นและผนังปูด้วยกระเบื้องสีดำลายหินอ่อน ดูมีระดับและหรูหรา ส่วนสุขภัณฑ์เลือกใช้โถสุขภัณฑ์ทรงโมเดิร์น และอ่างล้างหน้าทรงกลมวางบนตู้เก็บของสีขาวตัดกับผนังได้อย่างลงตัว

เหนืออ่างล้างหน้ามีกระจกติดผนังที่ออกแบบอย่างเรียบง่าย เพิ่มความสะดวกในการใช้งานในชีวิตประจำวัน ภาพรวมของห้องน้ำนี้ให้ความรู้สึกทันสมัย เรียบแต่ดูดี เหมาะกับบ้านสมัยใหม่ที่ต้องการฟังก์ชันและดีไซน์ที่กลมกลืนกันอย่างลงตัว

ที่มา | โครงการบ้าน นายช่าง ต่อ รับเหมาก่อสร้าง บ้านเดี่ยว

ติดต่อโทร : เบอร์ติดต่อ : 06-233-00084


หมายเหตุ : ทางเว็บ ไม่ได้มีการรับสร้างบ้าน เราลงให้ดูเพื่อเป็นไอเดียเท่านั้น หากสนใจแบบบ้านที่รีวิว สามารถติดต่อเจ้าของผลงานโดยตรงเองได้เลย ส่วนราคาก่อสร้าง ขึ้นอยู่กับสถานที่ พื้นที่ก่อสร้าง และ เกรดวัสดุ ซึ่งมีปรับขึ้น-ลงทุกปีครับ


บทความอื่นที่น่าสนใจ

บ้านชั้นเดียวสุดชิค สไตล์โมเดิร์น อยู่เองก็สบาย ที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่

บ้านชั้นเดียวสุดชิค สไตล์โมเดิร์น อยู่เองก็สบาย ที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่

บ้านชั้นเดียวสุดชิค สไตล์โมเดิร์น

บ้านชั้นเดียวสุดชิค สไตล์โมเดิร์น ดีไซน์สวยโดดเด่น ทันสมัยสวยงาม หลังนี้ประกอบด้วย ขนาด 3ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 1 ห้องรับแขก 1 ห้องโถง 1 ห้องพระ 1 ห้องครัว สามารถรองรับครอบครัวขนาดกลาง ก่อสร้างที่ อำเภอหนองหญ้าไซ จังหวัดสุพรรณบุรี ผลงานการออกแบบและก่อสร้างโดย รับสร้างบ้าน ราคาประหยัด By SK Home ในส่วนเรื่องราคาถ้าสามารถสอบถามได้จากข้อมูลด้านล่างหรือหากมีข้อสงสัยประการใดสามารถติดต่อทีมงานผู้สร้างได้ทันที

ผลงานและรูปภาพ : รับสร้างบ้าน ราคาประหยัด By SK Home
สถานที่ก่อสร้าง : อำเภอหนองหญ้าไซ จังหวัดสุพรรณบุรี

บ้านชั้นเดียวสุดชิค สไตล์โมเดิร์น

ด้านหน้าบ้านมีเฉลียงขนาดเล็กพร้อมหลังคากันสาดโครงเหล็กสีดำทรงเหลี่ยม ดูแข็งแรงและล้ำสมัย รับกับประตูและหน้าต่างกระจกบานใหญ่ที่ช่วยให้แสงธรรมชาติเข้าสู่ภายในได้อย่างเต็มที่ พร้อมช่วยให้บ้านดูโปร่ง โล่ง และเย็นสบาย

บ้านชั้นเดียวสุดชิค สไตล์โมเดิร์น

บ้านชั้นเดียวสุดชิค สไตล์โมเดิร์น

ดีไซน์ภายนอกมีการเล่นระดับสีและพื้นผิว โดยใช้ผนังบางส่วนเป็นสีเทาเข้มและส้มสด เสริมด้วยกรอบเส้นสีดำแนวตั้งที่ทำให้ตัวบ้านดูสูง โปร่ง และมีมิติ เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบบ้านสไตล์โมเดิร์นที่ไม่จำเจ และต้องการพื้นที่ที่ตอบโจทย์ทั้งการอยู่อาศัยและความสวยงามภายนอก

บ้านชั้นเดียวสุดชิค สไตล์โมเดิร์น

บ้านชั้นเดียวสไตล์โมเดิร์น

บ้านชั้นเดียว สไตล์โมเดิร์น

ช่องทางการติดต่อ

  • Facebook : รับสร้างบ้าน ราคาประหยัด By SK Home (ให้คำปรึกษา งานออกแบบ เขียนแบบก่อสร้าง ฟรี!!!)
  • โทรศัพท์ : 098-0969292
  • ID Line : trust_home
  • E-mail : rattawat2525@gmail.com

หมายเหตุ: ทางเว็บ esanbanna.com ไม่ได้มีการรับสร้างบ้าน เราลงให้ดูเพื่อเป็นไอเดียเท่านั้น หากสนใจแบบบ้านที่รีวิว สามารถติดต่อเจ้าของผลงานโดยตรงเองได้เลย ส่วนราคาก่อสร้าง ขึ้นอยู่กับสถานที่ พื้นที่ก่อสร้าง และ เกรดวัสดุ ซึ่งมีปรับขึ้น-ลงทุกปีครับ


บทความอื่นที่น่าสนใจ