การเพาะเลี้ยงกบแบบธรรมชาติ ประหยัดต้นทุนทำบ่อ กบโตไว
การเพาะเลี้ยงกบแบบธรรมชาติ
การเพาะเลี้ยงกบ เป็นอาชีพการเกษตรทางด้านการประมงอีกอาชีพหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะกบเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำที่เลี้ยงง่าย กินอาหารน้อยเจริญเติบโตเร็ว ต้นทุนการผลิตต่ำ ใช้เวลาเลี้ยงสั้นสามารถบริโภคได้ตั้งแต่ระยะลูกอ๊อด ลูกกบเล็ก ไปจนถึงกบขนาดใหญ่ ทั้งนี้ตลาดทั้งภายในประเทศและต่างประเทศมีความต้องการกบเพื่อการบริโภคและเพื่อใช้ประโยชน์เพิ่มมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันปริมาณกบในธรรมชาติกลับลดน้อยลงเป็นจำนวนมาก อันเนื่องมาจากการขยายตัวของชุมชน การใช้สารเคมีในภาคเกษตรกรรม และสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะภาวะโลกร้อน ซึ่งล้วนส่งผลกระทบทำให้ถิ่นที่อยู่อาศัยในธรรมชาติของกบถูกทำลายไป นอกจากนี้การจับกบในธรรมชาติมาบริโภคอย่างต่อเนื่องยังทำให้วงจรชีวิตของกบขาดหายไป (เทพพิทักษ์ และอภินันท์, 2560)
การเพาะเลี้ยงกบแบบธรรมชาติ สำหรับการเพาะเลี้ยงกบแบบธรรมชาตินั้นเราจะคำนึงถึงการใช้ประโยชน์จากความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่รอบข้างที่มี นำมาพัฒนาเพื่อให้เกิกประโยชน์สูงสุดในการเพาะเลี้ยงกบโดยอาศัยวิธีการที่เรียบง่าย ประหยัด ที่ไม่ก่อให้เกิดผลเสียต่อสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศมีปลอดภัยจากสารเคมีตกค้างทางการเกษตร และไม่เป็นอันตรายต่อผู้เพาะเลี้ยงที่สำคัญนั้น กบจะแข็งแรงและโตไว ไม่ค่อยเกิดโรค
ข้อดีของการเพาะเลี้ยงกบโดยวิธีเกษตรธรรมชาติ
- เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และ เป็นมิตรกับเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยง การทำเกษตรธรรมชาติไม่เพียงแต่จะปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมแต่ยังช่วยให้ระบบนิเวศคืนสู่สภาพปกติ
- ลดต้นทุนการผลิต เช่น ต้นทุนเลี้ยงของบ่อเพาะเลี้ยง ต้นทุนเรื่องอาหาร ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้น ให้สัตว์มีสุขภาพแข็งแรงกว่า โตไว
- ทำได้ในสภาพท้องถิ่นต่างกัน ด้วยหลักการเดียวกันแต่มีวิธีการปฏิบัติหลากหลาย สามารถนำไปทำได้ใน หลายภูมิภาค และจะมีเทคนิคเฉพาะในแต่ละท้องถิ่น

ที่มารูปภาพ | ยอดอรุณสมาร์ทฟาร์ม
ทำอย่างไรจึงจะทำให้การเพาะเลี้ยงกบมีประสิทธิภาพสูงสุด
- การออกแบบบ่อเลี้ยงให้กลมกลืนและเหมาะสมกับวิถีชีวิตของกบให้มากที่สุดโดยการใช้สิ่งที่ธรรมชาติให้มาอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
- ใช้ อาหารที่ สามารถหาได้จากธรรมชาตินำใช้เลี้ยงร่วมกับอาหารสังเคราะห์ให้ได้มากที่สุด เพื่อประหยัดต้นทุนด้านอาหาร
- ลดการใช้ยาปฏิชีวนะในการป้องกันรักษาโรคที่ไม่จำเป็น โดยการใช้จุลินทรีย์ที่ดีและมีประโยชน์และมีประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมร่วมด้วย
- ใช้พืชสมุนไพรที่หาได้ในพื้นที่ พื้นที่รอบข้างและพื้นที่ข้างเคียง นำมาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพในการเพาะเลี้ยงอย่างถูกวิธี ทดแทนการใช้สารสังเคราะห์อื่นๆ และลดสารตกค้างในสภาพแวดล้อม
- น้ำเสียที่เกิดขึ้น สามารถนำไปทำเป็นปีขรดต้นไม้ หรือใช้จุลินทรีย์ในการปรับสภาพน้ำเสียก่อนที่จะปล่อยทิ้งหรือก่อนนำกลับมาใช้ใหม่
- เลี้ยงในปริมาณที่พอดีที่เหมาะสมกับทรัพยากรธรรมชาติและวัสดุที่มีอยู่ การใช้แรงงานในการเพาะเลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของการเลี้ยงในครัวเรือน การเลี้ยงแบบเกษตรผสมผสาน หรือการเลี้ยงในลักษณะของผู้ประกอบการ และควรคำนึงในการเลือกใช้ปัจจัยการผลิตจากธรรมชาติให้ถูกชนิดและปริมาณและช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเลี้ยง เพื่อที่ทำให้มีประสิทธิภาพในการเลี้ยงที่จะเกิดผลที่ดีที่สุดในการเลี้ยงกบ
ขั้นตอนการทำบ่อเลี้ยงเพาะเลี้ยงกบแบบธรรมชาติ
การเลี้ยงกบโดยแบบรธรรมชาติ เป้าหมายหลักคือการเลี้ยงในรูปแบบใช้ประโยชน์จากทรัพยากรจากธรรมชาติมาทำบ่อเลี้ยงเพื่อให้มีต้นทุนต่ำ และสามารถใช้ประ โขชน์ได้อย่างสูงสุด ดังนั้นรูปแบบบ่ออาจจะต้องมีการพัฒนานำสิ่งที่ดี หาง่ายในพื้นที่มาใช้ในการทำบ่อ เพื่อที่จะนำมาไปสู่การพัฒนาทำรูปแบบและ วิธีการเพาะเลี้ยงการทำบ่อเลี้ยงอาจทำได้หลายแบบประกอบกัน ได้แก่

ที่มารูปภาพ | ยอดอรุณสมาร์ทฟาร์ม
การทำบ่อดิน
บ่อดินมีความเหมาะสมในการใช้เพาะเลี้ยงกบมาก เนื่องจากมีการลงทุนต่ำ สามารถใช้วัสดุธรรมชาติที่หาได้ง่ายในครัวเรือน และมีสภาพคล้ายคลึงธรรมชาติมากที่สุด ซึ่งขนาดของบ่อทำได้ตั้งแต่ขนาด 2.5 x 3.0 ตารางเมตร แต่ไม่ควรใหญ่เกินกว่า 3.0 x 4.0 ตารางเมตร เนื่องจากต้องมีการคัดขนาดกบ และดูแลรักษาจะทำได้ยาก พื้นที่ควรเลือกบริเวณที่มีแดดส่องถึง โดยทำการปรับสภาพพื้นที่เป็นดินให้เรียบล้อมรอบบ่อด้วยตาข่ายในล่อนสีฟ้าสูง เ เมตร ฝังตีนตาข่ายลึกลงไปในดินประมาณ 20 เซนติเมตร เพื่อกันกบมุดหนีหรือสัตรูภายนอกมุดเข้ามาทำอันตรายกบ บริเวณที่เป็นแอ่งน้ำอาจขุดเป็นบ่อน้ำเล็กๆถ้าดินสามารถเก็บน้ำได้ ในกรณีที่เป็นสภาพพื้นที่ไม่เก็บน้ำ ให้ใช้ภาชนะเช่น กะละมังขนาดกลาง หรือถังซีเมนต์กลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 90 เซนติเมตร ด้านบนปากบ่อคลุ่มด้วยตาข่ายไนล่อนสีฟ้าหรือแสลนให้มิดชิดเพื่อ ป้องกันศัตรูธรรมชาติ เช่น จิ้งเหลน นก แมว งู และ คน
ข้อดีและข้อเสียงของบ่อดินลักษณะนี้มี
ข้อดี มีความเหมาะสมสำหรับการใช้ในการเลี้ยงกบเนื้อระยะ 3 -5 เดือน และสามารถใช้เลี้ยงพ่อแม่พันธุ์กบหรือเลี้ยงกบข้ามฤดูกาลในช่วงฤดูหนาวได้ดี
ข้อเสีย ดูแลรักษาความสะอาดยาก และใช้ขยายพันธุ์ไม่ได้ และยังจบกบเพื่อจำหน่ายยากเนื่องจากมีพื้นที่อิสระและใหญ่
บ่อดินลักษณะกึ่งถาวร
เป็นบ่อดินที่พัฒนาขึ้นมาสามารถทำได้ในลักษณะนี้ โดยการก่อขอบบ่อด้วยอิฐบล็อกสูง 2-3 ก้อน ต่อขอบด้านบนด้วยตาข่ายไนล่อนสีฟ้า ด้านบนปากบ่อมีตาข่ายคลุมปิด เพื่อป้องกันนก ศัตรูธรรมชาติอื่นๆ หรือแมลงปอลงวางไข่ ภายในปรับสภาพพื้นดินให้เรียบขุดบ่อขนาด 1.5 x 1.5 เมตร ลึกลงไปในดินประมาณ 50-70 เซนติมตร ฝังท่อระบายน้ำถ้าสามารถทำได้
อาหารที่ใช้เลี้ยงกบ
- การเลี้ยงลูกอ๊อด ระยะ 2-3 วันแรกหลังจากที่เป็นลูกอ๊อดไม่ต้องให้อาหาร เพราะถูกอ๊อด ขังมีถุงไข่แดงที่ติดมากับท้องเป็นแหล่งอาหาร ถูกอ๊อคเริ่มกินอาหารครั้งแรกเมื่ออายุ 3 วัน ไรน้ำ เป็นแหล่งอาหารเสริมจากธรรมชาติที่ดีสำหรับลูกอ็อดที่เกษตรกรสามารถเพาะเลี้ยงเองได้ ในกรณีที่มีลูกอ๊อดเป็นจำนวนมาก อาจเสริมการให้อาหารด้วยการให้ผักกาดลวกน้ำร้อนกึ่งสุก เสษปลาต้มสุก รำละเอียด เศษเนื้อปลาบดผสมรำ เศษเครื่องในสัตว์ต้มสุก หรือหอยเชอร์รี่ต้มสุก บดผสมรำละเอียด ร่วมด้วย และเมื่อลูกอ๊อดโตขึ้นอาจให้อาหารสังเคราะห์สำร็จรูปชนิดเม็ดสำหรับใช้ลี้ยงลูกกบโรยให้กินร่วมด้วย การให้อาหารควรให้ทีละน้อยและวางไว้ตลอดเวลาเพราะลูกอ๊อดจะกินอาหารตลอดวัน
- การเลี้ยงลูกกบ ต้องฝึกให้ลูกกบให้กินอาหารสังเคราะห์ในช่วงแรกก่อน เนื่องจากถ้ำให้ลูกกบกินอาหารธรรมชาติตั้งแต่เริ่มต้น อาจจะก่อให้เกิดปัญหาในกรณีที่มีอาหารธรรมชาติไม่พอเพียง ดังนั้นจึงควรฝึกให้กินอาหารสังเคราะห์ให้เป็นก่อน จากนั้นให้อาหารเสริมจากธรรมชาติ เช่นปลวก ไส้เดือน จิ้งหรีดหรือหนอนนก จากที่เราสามารถเพาะเลี้ยงได้เอง การฝึกเริ่มตั้งแต่ระยะที่ลูกอ๊อดหางหดหมดมีขา 4 ขาเจริญครบสมบูรณ์ เรียกระยะเริ่มขึ้นกระดาน อาหารสังเคราะห์สำเร็จรูปชนิดเม็ดเล็กพิเศษใช้เลี้ยงกบหรือเลี้ยงปลาคุกเล็ก หรือปลาสดบดละเอียดผสมรำที่เกษตรกรผลิตขึ้นเอง 3 – 5 เปอร์เซ็นต์ น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม มีโปรตีนไม่ต่ำกว่า 30-35 เปอร์เซ็นต์ วิธีฝึกให้ลูกกบกินอาหารทำได้หลายวิธี เช่น ใส่อาหารในภาชนะหรือบนจานแล้ววางปริ่มน้ำ หรือ โรยอาหารเม็ดลงในน้ำ ถ้าโรยอาหารลงในน้ำต้องโรยในบริเวณที่ลูกกบสามารถนั่งได้และหัวไม่จมน้ำ ซึ่งทั้งสองวิธีนี้สามารถใช้ได้ทั้งในกบนาและกบบูลฟร็อก
- กบรุ่นหรือกบเนื้อ เมื่อลูกกบอายุประมาณ 2 เดือน สามารถให้สังเคราะห์ที่มีขนาดเม็ดใหญ่ขึ้นร่วมกับอาหารธรรมชาติที่เกษตรกรสามารถเพาะเลี้ยงได้เองโดยวิธีง่ายๆ นอกจากนี้การใช้ชนิดของอาหารอาจขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่และ วิธีการเลี้ยงของเกษตรกร ถ้ผู้เลี้ยงกบนาอยู่ใกลับริเวณที่สามารถหาปลาสดได้ อาจใช้ปลาสดบดหรือสับเป็นชิ้นวางในภาขนะปริ่มน้ำหรือเหนือน้ำ หรือใช้ปลาสดบดผสมรำในอัตรา 3:1 หรือให้อาหารสำเร็จรูปชนิดเม็ดที่ใช้เลี้ยงกบหรือเลี้ยงปลาดุก
- พ่อแม่พันธุ์ กบพ่อแม่พันธุ์และมีอายุ 8-10 เดือน และมีการเจริญเติบโตดีแล้ว ควรลดการให้อาหารให้เหลือเพียงครั้งเดียวในช่วงเวลาเย็น หรือให้อาหารธรรมชาติ เช่น ปลวก ไส้เดือน หนอนนกจิ้งหรีด เป็นต้น
อาหารธรรมชาติที่ผลิตได้เอง
สำหรับอาหารที่สามารถหาได้ตามธรรมชาติ หรือ เพาะเลี้ยงเองได้นั้นมีอยู่ด้วยกันหลายอย่างแต่ที่กบนิยมกินและชอบมากๆ จะเป็นพวก ใส้เดือนดิน ปลวก จิ้งหรีด และแมลงต่างๆ เป็นต้น ซึ่งอาหารตามธรรมชาติเหล่านี้สามารถนำมาเสริมเพื่อลดต้นทุนในการเลี้ยงกบลงได้ อีกทั้งยังไม่เป็นอันตรายต่อกบด้วย ถูกและดีมีในธรรมชาติ
การเจริญเติบโต
การเจริญเติบโตของกบนา จากลูกอ๊อดไปเป็นลูกกบโดยเฉลี่ยใช้เวลาประมาณ 28 – 45 วัน ในการเลี้ยงถ้าบังคับให้ลูกอ๊อดเจริญไปเป็นลูกกบร็วกว่าปกติจะ ได้ลูกกบมีขนาดเล็ก การฝึกให้กินอาหารยากขึ้นอัตราการรอดต่ำลง ดังนั้นไม่ควรเร่งให้ลูกอ๊อดเจริญเป็นลูกกบเร็วกว่าอัตราการเจริญเติบโตตามปกติ
การเจริญจากลูกกบไปเป็นกบเนื้อใช้เวลา 3-5 เดือน กบเนื้อที่มีอายุประมาณ 4-5 เดือน มีความยาวของลำตัวประมาณ 4 นิ้ว มีน้ำหนักตัวอยู่ระหว่าง 200-300 กรัม (ขึ้นอยู่กับเพศ) กบที่พบว่ามีขนาดใหญ่ในระยะนี้มักจะเป็นเพสเมีย ส่วนที่มีขนาคเล็กจะเป็นเพศผู้
การเจริญเดิบโตของพ่อแม่พันธุ์ใช้เวลา 10- 12 เดือน ทั้งนี้การเจริญเติบโตในแต่ละระยะ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างในด้านการจัดการ เช่น อาหารที่ใช้เลี้ยง การดูแลรักษาความสะอาดของบ่อ ความหนาแน่นที่ปล่อย และ การคัดขนาด เป็นต้น
เลี้ยงกบแล้วไปขายที่ไหนดี?
เกษตรกรเลี้ยงกบหลายๆท่าน ที่เป็นมือใหม่ในการเลี้ยงกบนั้นมักจะประสบปัญหาในการขายกบ เลี้ยงแล้วไม่รุ้จะขายให้ใคร หรือ ขายแล้วราคาไม่ดีบ้าง โดนพ่อค้าที่มารับซื้อกดราคาบ้าง และปัญหาต่างๆมากมาย สำหรับมือใหม่ในการเลี้ยงกบนั้นถ้ายังไม่มีตลาดรับซื้อที่แน่นอนนั้น ควรเริ่มจากการเลี้ยงน้อยไปหามาก โดย เริ่มจำหน่ายในชุมชนท่านก่อน อาจจะเป็นจำหน่ายลูกอ๊อดตัวเล็กๆไปถึงตัวโตเต็มไวก้ได้ แต่ถ้าเลี้ยงเป็นจำนวนมากนั้นจะต้องมีการวางแผนด้านการตลาดให้ดี ว่าจะนำกบไปจำหน่ายที่ไหน เช่น มีพ่อค้าคนกลางมารับ หรือ มีฟาร์มที่เราซื้อลูกอ็อดมาเลี้ยงรับซื้อคืน และปัจบันนั้นได้มีการตลาดออนไลน์เข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมากในการชื้อขายมีกลุ่มซื้อขายเฉพาะทางมากมายเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ในด้านนี้ด้วย
ที่มา | ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจาก – พระราชดำริ
บทความอื่นที่น่าสนใจ