ปลูกกระท่อม พืชสมุนไพรเศรษฐกิจใหม่ มาแรง!!
ปลูกกระท่อม
ลักษณะทั่วไปของกระท่อม
พืชกระท่อม นั้นมีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนชื้นแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบมากในมาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ รวมถึงประเทศไทย โดยพบได้ทั่วไปในป่าธรรมชาติทางภาคใต้ กระท่อม (Kratom) จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ความสูงประมาณ 15 – 30 เมตร ลำต้นตรง ใบเป็นใบเดี่ยว รูปไข่ ด้านท้องใบเป็นสันชัดเจน ดอกกระท่อมเป็นดอกสมบูรณ์เพศออกที่ปลายกิ่ง มีลักษณะเป็นดอกรวม มีช่อดอกแบบกระจุกแน่นคล้ายดอกกระถิน ผลมีลักษณะเป็นแคปซูล เมล็ดลักษณะแบนอัดแน่นภายในผลย่อย
พันธุ์กระท่อม
พันธุ์กระท่อม ที่นิยมปลูกในประเทศไทย มีชื่อเรียกแตกต่างกันตามลักษณะใบ ได้แก่
- พันธุ์ก้านแดง จะมีลักษณะก้านใบและเส้นใบเป็นสีแดง
- พันธุ์ก้านเขียว มีก้านใบและเส้นใบเป็นสีเขียว
- พันธุ์หางกั้ง มีขอบใบเป็นฟันเลื่อย
อย่างไรก็ตาม พบว่า ในกระท่อมต้นเดียวกันอาจจะมีใบหลายลักษณะได้ สาเหตุอาจเกิดจากปัจจัยอื่น ๆ ที่มีอิทธิพลต่อการแสดงออกของลักษณะใบที่นอกเหนือจากลักษณะประจำพันธุ์
วิธีการปลูกและการจัดการกระท่อม
การปลูกกระท่อมให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพดีและปริมาณผลผลิตสูงจำเป็นต้องมีการจัดการที่ดี ตั้งแต่ระยะการปลูกที่เหมาะสม การจัดการทรงพุ่มให้มีขนาดใหญ่ การใส่ปุ๋ยและให้น้ำที่สม่ำเสมอ ปริมาณผลผลิตโดยเฉลี่ยประมาณ 50 – 100 กิโลกรัม/ต้น/ปี ซึ่งมีวิธีการปลูกและการจัดการ ดังนี้
ระยะการปลูกที่เหมาะสม
ระยะปลูกกระท่อมสามารถยืดหยุ่นได้ โดยคำนึงถึงการใช้ประโยชน์จากใบจะขึ้นอยู่กับความกว้าง ความยาว ความสูงของทรงพุ่ม จำนวนกิ่งและใบที่เกิดในทรงพุ่มเพื่อให้ได้รับแสงแดดที่เหมาะสม ระยะปลูกที่ต่างกันจะมีข้อดี ข้อเสีย ต่างกัน
- การปลูกระยะชิด ในปีแรก ๆ จะให้ผลผลิตต่อไร่สูง แต่เกษตรกรต้องจัดการทรงพุ่มให้เหมาะสมเพื่อไม่ให้เกิดการซ้อนทับกันของกิ่งและใบ ซึ่งจะทำให้ต้นและทรงพุ่มมีขนาดเล็กส่งผลต่อปริมาณใบและคุณภาพของใบ
- การปลูกระยะห่าง เกษตรกรไม่ต้องเข้มงวดกับการจัดการทรงพุ่มมากนัก ใช้เวลานานกว่าทรงพุ่มจะเกิดการซ้อนทับกัน ระยะห่างจะได้ทรงพุ่มขนาดใหญ่ แต่จะเสียโอกาสของการใช้ประโยชน์ที่ดินในช่วงเวลาที่ต้นยังเล็ก
การจัดการทรงพุ่ม
กระท่อมเป็นพืชอายุยาว การวางแผนการจัดการทรงพุ่มจึงเป็นเรื่องสำคัญหากไม่มีการจัดการทรงพุ่มที่ดี จะทำให้ลำต้นสูงชะลูด ทรงพุ่มมีขนาดเล็ก ให้ผลผลิตต่ำเก็บเกี่ยวยาก ซึ่งขนาดทรงพุ่มต้นกระท่อมในแต่ละช่วงอายุ มีความแตกต่างกันเฉลี่ยต้นที่อายุ 3 ปี จะมีขนาดทรงพุ่มกว้างประมาณ 3 เมตร อายุ 5 ปี กว้างประมาณ 4 เมตร อายุ 8 ปี จะก้ว้างประมาณ 5 เมตร อายุ 15 – 25 ปี มีความกว้างประมาณ 6 เมตรสำหรับตันที่อายุ 10 ปี ขึ้นไปสามารถโน้มกิ่งในแนวราบได้ ซึ่งจะมีความยาวของกิ่งประมาณ 7 เมตร ดังนั้นเพื่อให้ได้ทรงพุ่มที่มีขนาดใหญ่ ผลผลิตสูง จึงต้องมีความรู้ ในการจัดการทรงพุ่มด้วยวิธีการ ดังนี้
- การเด็ดยอดและตัดแต่งกิ่ง เพื่อบังคับความสูงของต้น และเร่งการแตกกิ่งข้างออกมาตามซอกก้านใบที่ติดกับลำต้น การแต่งกิ่งจะทำให้ทรงพุ่มโปร่ง แสงแดดส่องลงมาถึงลำต้นและใบ ลดการสิ้นเปลืองอาหารที่จะส่งไปเลี้ยงกิ่งที่ไม่ต้องการ และยังลดการเกิดโรค
- การโน้มกิ่งและค้ำกิ่ง เพื่อทำให้กระท่อมต้นเตี้ย โดยบังคับให้กิ่งเจริญเติบโตออกไปในแนวนอน ซึ่งจะทำให้มีการแตกกิ่งย่อยจำนวนมาก การเก็บเกี่ยวง่ายขึ้น วิธีการโน้มกิ่งโดยใช้เชือกผูกช่วงกลางของกิ่ง แล้วดึงให้โน้มกิ่งลงมาหาพื้นดินการลดระดับการโน้มกิ่งสามารถปรับระดับได้ทุก ๆ 15 วัน จนได้ระดับที่ต้องการ
- การตัดแต่งใบ หรือการเก็บเกี่ยวใบอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ทรงพุ่มโปร่ง แสงแดดส่องถึงในกรณีที่ไม่ได้เก็บเกี่ยวตามกำหนดก็จะเกิดการสะสมของใบจำนวนมากทำให้เกิดความชื้นเพิ่มขึ้นในทรงพุ่ม เป็นสาเหตุของการเกิดโรคทางใบ เช่น โรคราสนิม การระบาดของแมลง และยังทำให้ขนาดของใบโดยรวมเล็กลงด้วย
- การตัดแต่งดอก ในกรณีที่ไม่ต้องการเก็บเมล็ดไว้ขยายพันธุ์ให้ทำการตัดแต่งดอกทิ้งเพื่อลดการสูญเสียอาหารและน้ำไปเลี้ยงดอก จะสังเกตได้จากกิ่งที่เกิดช่อดอกมักจะมีขนาดเล็กใบมีจำนวนน้อยและมีขนาดเล็ก และเมื่อดอกพัฒนาเป็นเมล็ด กิ่งเหล่านี้มักจะแห้งตาย และอาจจะเป็นแหล่งสะสมโรคและแมลง
การใส่ปุ๋ย
การเลือกใช้ปุ๋ยให้มีความเหมาะสมกับพืชและสภาพดิน สามารถช่วยลดต้นทุนการผลิต ลดการใช้สารเคมี ช่วยรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดิน และไม่ทำลายสภาพแวดล้อม ซึ่งปุ้ยเป็นวัสดุที่มีธาตุอาหารพืชเป็นองค์ประกอบ เมื่อใส่ลงในดินแล้วจะปลดปล่อยธาตุอาหารหรือสังเคราะห์ธาตุอาหารที่จำเป็นให้แก่พืช เพื่อให้พืชเจริญเติบโตและได้ผลผลิตคุ้มค่าการลงทุน ปุ๋ยแบ่งได้ 3 ประเภท คือ ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยเคมี และปุ๋ยชีวภาพ
การให้น้ำ
น้ำมีความสำคัญในกระบวนการสังเคราะห์แสงของพืช เป็นตัวละลายธาตุอาหารในดินเพื่อให้รากดูดซึมไปสร้างการเจริญเติบโต คายน้ำเพื่อระบายความร้อน โดยพืชแต่ละชนิดจะมีความต้องการน้ำแตกต่างกันขึ้นอยู่กับ ชนิด พันธุ์ และอายุของพืช ซึ่งหากพืชได้รับน้ำน้อยจะชะงักการเจริญเดิบโต ให้ผลผลิตต่ำ แต่หากให้น้ำมากเกินไปก็จะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย การจัดการระบบน้ำจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโต ปริมาณและคุณภาพของผลผลิต รวมถึงการกำหนดช่วงระยะเวลาการเก็บเกี่ยวผลผลิต
การเก็บเกี่ยว
อายุการเก็บเกี่ยวกระท่อม นั้นซึ่งต้นกระท่อมที่มีการจัดการแปลงดีสามารถเก็บเกี่ยวได้ตั้งแต่อายุ 6 – 8 เดือน และมีรอบการเก็บเกี่ยวฃได้ทุก 15 – 30 วัน โดยใบกระท่อมที่มีอายุ 30 วัน
การเลือกเก็บใบกระท่อมต้องไม่อ่อนเกินไป ให้นับใบจากยอดลงมา โดยเก็บใบคู่ที่ 3 และ 4 (ไม่เก็บใบอ่อนคู่ที่ 2 วิธีสังเกตความอ่อนแก่ของใบให้ดูจากความหนาของใบ ความมันวาวของใบ และสีของเส้นใบ หากใบอ่อนมักมีเส้นใบเป็นสีแดงหรือม่วง และจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวหรือขาวเมื่อใบมีอายุมากขึ้น
(ยกเว้นในบางพันธุ์ที่มีลักษณะก้านใบสีแดง) ผลผลิตใบกระท่อม 1 กิโลกรัม มีจำนวนใบประมาณ 500 – 600 ใบ น้ำหนักใบสดเฉลี่ย 0.5 – 0.6 กรัม/ใบ
เอกสารอ้างอิง
- กรมวิชาการเกษตร. 2565. คู่มือเกษตรกร การปลูกกระท่อม. กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์.
บทความอื่นที่น่าสนใจ